วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

ชีวิตนักเรียนใหม่เตรียมทหาร ตอนที่ 3 : ปล่อยหลอก

หลังจากได้ยินคำชี้แจงเรื่องการปล่อยพักบ้านแล้ว นักเรียนใหม่อย่างพวกเราก็เกิดแรงฮึดขึ้นราวปาฏิหาริย์ ทุกคนขยันขันแข็งตั้งใจฝึกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ระบบการซ่อมนักเรียนใหม่จะเริ่มทวีความหนักหน่วงขึ้นทีละน้อย จากยึดพื้น 5 ครั้ง กลายเป็น 10-20 ครั้ง พุ่งหลัง 10 ยก กลายเป็น 50 ยกบ้าง 100 ยกบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเราไหวหวั่นแต่อย่างใด ในใจเพื่อน ๆ หลายคนคงคิดเหมือนแอดมินแหละครับ "กูจะได้กลับบ้านแล้วโว้ยยย"

แต่ก็มีนักเรียนใหม่หลายคนที่รู้จักรุ่นพี่ที่เคยเรียนเตรียมทหารมาก่อน เขาเล่าให้ฟังว่าปล่อยหลอกชัวร์ๆ คือหลอกว่าจะปล่อย แต่จริง ๆ แล้วไม่ปล่อยว่างั้นเหอะ พวกนี้ก็ไม่ได้คาดหวังแต่อย่างใดว่าจะกลับบ้าน จริง ๆ มีนักเรียนใหม่ที่ไม่เชื่อเรื่องการปล่อยพักบ้านครั้งนี้อยู่ 2 ประเภทคือ พวกที่รุ่นพี่เล่าให้ฟัง กับพวกที่บ้านไกลมาก ๆ ไม่อยากกลับ เปลืองค่าเดินทาง แล้วก็ไม่มีที่พักที่ไหนในกรุงเทพ

ตัวแอดมินเองพอทราบดังนี้ก็หวั่นไหวในใจอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความหวังลึก ๆ ที่จุดประกายอยู่ในความคิด ว่าจริง ๆ แล้วอาจจะปล่อยก็ได้นะ มันอาจจะไม่เป็นเหมือนที่เพื่อนพูดก็ได้ แต่แล้วเมื่อได้รวมแถวฟังคำชี้แจงจากพี่คอมแมนด์ท่านว่า ปล่อยพักบ้านคราวนี้ให้เตรียมเอกสาร และอุปกรณ์บางอย่างมาด้วย ยิ่งทำให้แอดมินเชื่ออย่างสนิทใจว่าจะปล่อยจริง ๆ ถึงขนาดให้ไปเตรียมเอกสารมาให้ทางโรงเรียนเตรียมทหารเลยนะ แสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ไม่งั้นไม่สั่งให้ไปเตรียมเอกสารมาหรอก

ระหว่างนี้เองแอดมินเริ่มมีเพื่อนหลายคนแล้ว โดยเฉพาะพวกที่นอนอยู่ในบล็อกเดียวกัน ประกอบด้วยอดีตนักเรียนนายสิบเหล่าปืนใหญ่ มาจากพัทลุง ปัจจุบันแกรับราชการอยู่กองพันทหารราบแห่งหนึ่งในจังหวัดกระบี่ เพื่อนเหล่าทหารอากาศที่มาจาก จ.ราชบุรี ก็ได้คุยได้แลกเปลี่ยนทัศนคติ ได้นินทารุ่นพี่ พอผ่อนคลายบ้าง

อา.. พรุ่งนี้ก็จะถึงวันปล่อยพักบ้านแล้ว จิตใจของแอดมินไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วที่นี้ เริ่มจดสิ่งที่อยากทำเมื่อได้ปล่อยพักบ้าน 2 วัน เสาร์-อาทิตย์นี้ ลงบนสมุดบันทึกเล็ก ๆ โปรแกรมเยอะแยะไปหมด เช่น อยากจะไปดูหนังที่เมเจอร์ อยากกินพิซซ่าฮัท อยากกินไอศกรีมสเวนเซ่น โอย เยอะแยะไปหมด ทีนี้ก็จะมีการสำรวจยอด ตามคาดคือ มีคนที่สมัครใจกลับ และสมัครใจอยู่โรงเรียน ฯ ที่ต้องมีการสำรวจยอดนักเรียนใหม่ที่จะอยู่โรงเรียนนี่ก็เพราะว่าจะได้แจ้งทางโรงเลี้ยงให้ประกอบอาหารให้รับประทานตามปกติ

ในที่สุดก็ถึงวันศุกร์ วันที่จะได้ปล่อยพักบ้านสักที หลังจากเข้าโรงเรียนเตรียมทหารมาได้ 1 สัปดาห์เต็ม เวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ แต่แอดมินรู้สึกว่ามันช่างเป็น 1 สัปดาห์ที่ยาวนานเหลือเกิน เหมือนมาอยู่เป็นเดือน ๆ คงเป็นเพราะว่าแอดมินเฝ้าแต่นึกถึงวันที่จะได้กลับบ้าน คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ เหมือนดั่งกับที่ไอนสไตน์เคยกล่าวไว้ว่าเวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ คือเวลาแห่งความสุขนั้นแสนสั้น แต่เวลาแห่งความทุกข์นั้นยาวนาน

วันนี้แอดมินตั้งอกตั้งใจฝึกเป็นพิเศษ รับประทานอาหารนี่ฉากไม่มีเสีย รายงานเสียงดัง ตบเท้าเสียงดัง เป๊ะๆๆๆ มีกำลังใจในการใช้ชีวิตขึ้นมาทันที จนกระทั่งมาถึงช่วงบ่ายสาม คอมแมนด์ท่านจึงให้นักเรียนใหม่ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมปล่อยพักบ้าน แหม มันช่างโกลาหลเสียจริง ๆ แย่งกันอาบน้ำ แย่งกันแต่งตัว เก็บเสื้อผ้าบางส่วนยัดใส่กระเป๋า โดยเฉพาะถุงเท้าและกางเกงในเพื่อเอากลับไปให้แม่ซักที่บ้าน (ช่างเป็นลูกที่กตัญญูได้โล่ห์) เสร็จแล้วรีบวิ่งลงมารวมแถวเพื่อตรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกาย ตั้งแต่โกนหนวด กันจอน ไปจนถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ต้องสะอาดเรียบร้อย

พี่ ๆ คอมแมนด์ท่านก็ลงมาตรวจแถวด้วยเครื่องแต่งกายชุดปกติของนักเรียนเตรียมทหาร ซึ่งเป็นชุดที่ใช้เวลาปล่อยพักบ้าน ยิ่งทำให้แอดมินใจชื้นขึ้นเป็นกอง เพราะแสดงว่าพี่เขาก็น่าจะกลับบ้านเช่นกัน ไม่งั้นคงไม่ลงทุนแต่งเครื่องแบบลงมาหรอกจริงไหม

การแต่งกายชุดปกติของนักเรียนเตรียมทหาร

กว่าจะตรวจเครื่องแต่งกายเสร็จ กว่าจะชี้แจงระเบียบและการปฏิบัติตัวเมื่อปล่อยพักบ้านเสร็จ ก็ปาไปร่วมชั่วโมง ชี้แจงสารพัดไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติเมื่อรอรถสธารณะ ต้องยืนนิ่ง ตัวตรง ไม่หลุกหลิก ห้ามวิ่ง ขึ้นรถเมล์แล้วห้ามนั่ง ถ้าจะเอาสบายชัวร์ก็ขึ้นแท๊กซี่ไปเลย หากเจอรุ่นพี่ต้องทำความเคารพอย่างไร กลับเข้าโรงเรียนวันอาทิตย์เวลา 14.00 น. ตบท้ายด้วยการอวยพรให้เดินทางปลอดภัย ปาไปเกือบ 5 โมงเย็นแล้วยังไม่ได้ปล่อยพักบ้าน

ในที่สุดการฟังคำก็ชี้แจงเสร็จสิ้น ผู้กองสั่งให้คอมแมนด์นำแถวนักเรียนใหม่เดินไปปฏิญาณที่หน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 หน้าตึกกองบัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร หรือตึกวาย โอ้ เห็นโลกภายนอกอยู่แค่เอื้อม นอกกรั้วโรงเรียนนี่เอง ห่างจากแอดมินไม่ถึง 20 เมตร พวกเราตั้งใจปฏิญาณกันเสียงดังฟังชัดพร้อมเพียง "ข้าพระพุทธเจ้าฯ จักรักษามรดกของพระองค์ท่าน ไว้ด้วยชีวิต" 3 รอบ แต่หลังจากปฏิญาณเสร็จแทนที่จะได้กลับบ้าน ผุ้กองท่านกลับสั่งให้คอมแมนด์พานักเรียนใหม่ไปรับประทานอาหารเย็นที่โรงเลี้ยงก่อน ประมาณว่าเป็นห่วงว่างั้นเหอะ แอดมินเองเริ่มเซ็งแล้ว ไม่ได้กลับสักที แต่ก็เอาวะ กินข้าวก่อนก็ได้

กองบัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร หรือตึกวายที่พระราม 4  (มองจาก Top view จะเหมือนตัว Y) 
ปัจจุบันเป็น โรงเรียนไทย-จีนศึกษา BNU และภัตตาคารเสวย

กองบัญชาการโรงเรียนเตรียมทหารในปัจจุบัน ที่ จ.นครนายก

ระหว่างรับประทานอาหาร ใจเริ่มตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ว่าจะได้กลับหรือไม่กลับ หกโมงเย็นกว่าแล้ว ฟ้าเริ่มครึ้ม บรรยากาศมันวังเวงพิกล อยู่ ๆ ผู้กองท่านก็ประกาศออกไมค์กลางโรงเลี้ยง ให้นักเรียนใหม่ทุกคนรวมมิตรอาหารทุกอย่างเข้าด้วยกัน นับเป็นการรวมมิตรอาหารครั้งแรกในชีวิตของแอดมินเลยทีเดียว ภาษานักเรียนเตรียมทหารเขาเรียกว่า มิกซ์ (mix) อันประกอบไปด้วย ข้าว กับข้าว 2 อย่าง และของหวาน แล้วตักแบ่งกันรับประทาน ไม่กินสบาย ๆ นะ แต่ให้ทุกคนมุดลงนั่งกินใต้โต๊ะอาหาร นั่งกินก็ลำบากอยู่แล้ว รสชาติอาหารคาวผสมปนกับอาหารหวานมันแปลกพิลึก แต่ก็ต้องทนกินให้หมดจานเพราะกลัวจะถูกทำโทษ

ระหว่างมุดโต๊ะรับประทานอาหารอยู่นั้นผู้กองก็ประกาศเสียงดังว่า มีคำสั่งจากผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร "เนื่องจากขณะนี้ได้เกิดม๊อบก่อจลาจลที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตบางกรวย เกรงว่านักเรียนใหม่จะได้รับอันตรายจากการชุมนุม จึงขอสั่งให้งดการปล่อยพักบ้าน" โอ้โห ! เหมือนสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางใจ ความฝันที่จะได้กลับบ้านพังทลายสิ้น มันอื้ออึง มันเซ็ง มันหงุดหงิด ผสมปนเปกันไปหมด เกิดความผิดหวังอย่างแรง แอดมินเองก็ไม่ต่างอะไรใจเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น ๆ ทุกคนเซ็งไปตามกัน ผู้กองท่านบอกว่าพวกเราทุกคนต้องเผชิญกับความผิดหวัง ไม่ช้าก็เร็ว เพราะฉะนั้นจงฝึกจิตใจให้เข็มแข็ง ต้องเป็นลูกผู้ชาย ต้องไม่หวั่นไหวต่อความเสียใจและผิดหวังที่เข้ามาในชีวิต แล้วอยู่ ๆ ท่านก็ให้นักเรียนใหม่ทุกคนร้องเพลง "แม่" ของโลโซขึ้นมา ร้องทั้ง ๆ ที่นั่งกระจุกกันอยู่ใต้โต๊ะนั่นแหละ



"ป่านนี้ จะเป็นอย่างไร จากมาไกล แสนนาน
คิดถึง คิดถึงบ้าน จากมาตั้งนาน เมื่อไรจะได้กลับ
แม่จ๋า แม่รู้บ้างไหม ว่าดวงใจ ดวงนี้เป็นห่วง
จากลูกน้อย ที่แม่ห่วงหวง อยู่เมืองหลวง ศิวิไลซ์ ไกลบ้านเรา

คิดถึงแม่ขึ้นมา น้ำตามันก็ไหล อยากกลับไป ซบลงที่ตรงตักแม่
ในอ้อมกอด รักจริง ที่เที่ยงแท้ ในอกแม่ สุขเกินใคร
อีกไม่นาน ลูกจะกลับไป หอบดวงใจ เจ็บช้ำเกินทน
เก็บเรื่องราว วุ่นวายสับสน ใจที่วกวน ของคนในเมืองกรุง"

โอ้ยคุณเอ๋ย ยิ่งร้องเพลงนี้ ใจมันยิ่งคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่คิดถึงพ่อ แอดมินกล้าพูดอย่างไม่อายเลยว่าน้ำตาแห่งความคิดถึงมันไหลออกมา มันคิดถึงบ้าน ผิดหวัง เสียใจ เจ็บใจ แต่ภายหลังเมื่อโตมาแอดมินจึงเข้าใจว่าการเผชิญหน้ากับความผิดหวังและเสียใจ มันทำให้จิตใจเราแข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ ไม่ค่อยหวั่นไหวต่อสิ่งใดง่ายนัก

ในที่สุด หลังทานข้าวเสร็จ นักเรียนใหม่ก็ต้องกลับไปอาบน้ำแล้วปฏิบัติภารกิจตามตารางประจำวันเช่นเดิม แอดมินเริ่มทำใจได้บ้างแล้ว เราต้องอดทน ต้องเข้มแข็ง ผ่านไปให้ได้ แค่ 3 สัปดาห์เท่านั้น ทำไมเราจะทนไม่ได้ วันนี้เหนื่อยจริง ๆ แล้วคืนนั้นแอดมินก็ผลอยหลับไปอย่างรวดเร็ว

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

ชีวิตนักเรียนใหม่เตรียมทหาร ตอนที่ 2 : ผมอยากกลับบ้าน


เช้าวันต่อมาผมสะดุ้งตื่นด้วยเสียงแตร เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงแตรแบบนี้ มันดังแปลก ๆ หูพิลึก (ภายหลังทราบว่ามันคือแตรปลุก) พลิกตัวหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเป็นเวลา 05.30 น. ทันใดนั้นก็มีเสียงคอมแมนด์เป่านกหวีดและตะโกนจากหัวโรงนอน สั่งให้พวกเรารีบลงไปรบแถวให้เสร็จก่อนเสียงแตรจบ เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากการขยับกันของเตียงเหล็กและเสียงตึงตังจากการวิ่งเกิดขึ้นชุลมุน แอดมินเองก็รีบกุลีกุจอหยิบถุงเท้ารองเท้าผ้าใบจากใต้เตียงวิ่งลงไปรวมแถวข้างล่าง แต่ขณะผ่านห้องน้ำยังไม่วายรีบเข้าไปฉี่เสียก่อน จากนั้นจึงรีบวิ่งลงมาด้านล่าง เสียงแตรปลุกจบไปแล้ว พวกที่ยังรวมแถวไม่เสร็จรวมถึงแอดมินด้วย ก็ถูกคอมแมนด์ทำโทษเล็กน้อยด้วยการยึดพื้น เสร็จแล้วจึงเข้าไปรวมแถว

เริ่มเช้าตรู่วันใหม่ด้วยการกายบริหาร ฟ้ายังไม่สว่างเลยครับ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกายบริหารตั้งแต่ตอนเช้าขนาดนี้มาก่อน คอมแมนด์ก็สอนกายบริหารสไตล์ทหารให้ มีขั้นตอนจุกจิกเยอะแยะเหมือนกัน ยิ่งกว่าตอนไปเข้าค่ายลูกเสืออีก แอดมินเองที่ยังไม่หายเซ็งตั้งแต่เมื่อวาน ก็จำใจกายบริหารประกอบความง่วงไป หลังจากกายบริหารเสร็จก็เป็นการวิ่งรวมแถวออกกำลังกาย

ขณะวิ่งก็ต้องร้องเพลงไปด้วย เพลงที่คอมแมนด์สอนให้พวกเราร้องนั่นแหละ “นักเรียนเตรียมทหาร นักเรียนเตรียมทหาร ใจและกายชายชาญ เลือดทหารแรงกล้า....” แค่วิ่งธรรมดาก็เหนื่อยอยู่แล้ว ยังต้องร้องเพลงอีก ความจริงแล้วการวิ่งและร้องเพลงไปด้วยมันทำให้บรรยากาศในการออกกำลังกายสนุกนะครับ เหนื่อยน้อยลงด้วย แถมได้ความสามัคคี แถมเป็นการปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติรักสถาบันอีกด้วย

การวิ่งออกกำลังกายของ นตท.
ที่มาของภาพ : http://krarok.diaryis.com/2005/11/25



มาร์ชนักเรียนเตรียมทหารครับ แต่ในภาพเป็นที่โรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายกนะครับ

การวิ่งออกกำลังกายเป็นแถว สำหรับแอดมินแล้ว จากนักเรียนพลเรือนอายุ 18 ปี ที่ร่างกายก็ไม่ค่อยจะฟิตอยู่แล้ว ต้องมาวิ่งซะหลายรอบ เล่นเอาหมดแรงเหมือนกัน กว่าจะได้กลับมาอาบน้ำ(ซึ่งให้เวลาน้อยนิดเหมือนเคย) และรับประทานอาหารเช้าก็เล่นเอาเหงื่อโทรม

แอดมินสมัยเป็นนักเรียน ม.ปลาย ผมดกดำกว่าตอนนี้เยอะ แต่หล่อสู้ตอนปัจจุบันนี้ไม่ได้

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นการฝึกสำหรับนักเรียนใหม่ โดยจะเน้นการฝึกวินัยทหารเบื้องต้น เช่น ฝึกบุคคลท่ามือเปล่า (ประเภทวันทยาหัตถ์ ซ้ายหันขวาหัน วิ่ง ฯลฯ ประมาณนี้) และธรรมเนียมของทหาร โดยการฝึกจะเป็นการฝึกแบบ 50 นาที พัก 10 นาที พอถึงเวลา 12.00 ก็รับประทานอาหารเที่ยง ช่วงบ่ายก็ฝึกเหมือนเดิม ตกเย็นเวลา 16.00 น.ก็รวมแถวออกกำลังกายอีก เรียกได้ว่า เหงื่อโทรมทั้งวัน

ตกค่ำก็จะเป็นการนั่งเรียนในห้องฝึกฝน (ห้องโถงขนาดใหญ่ มีโต๊ะประจำตัวสำหรับนั่งทำการบ้าน อ่านหนังสือ) โดยเรียน หรือฟังบรรยายเรื่องธรรมเนียมทหารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระเบียบการปฏิบัติตัว ร้องเพลงสถาบัน ร้องเพลงโรงเรียนเหล่า) จากนั้นเวลา 21.30 น.ก็เข้าแถวสวดมนตร์ และเข้านอนตอนสี่ทุ่มตรง

การที่นักเรียนใหม่มีเวลาส่วนตัวอันน้อยนิด แถมเหงื่อโทรมกายได้ทั้งวัน ปัญหาที่ตามมือคือโรคผิวหนัง โดยเฉพาะในร่มผ้า ก็คือกลากเกลื้อนนั่นแหละ ยิ่งเป็นตามง่ามขา ง่ามก้น เราก็เรียกว่าสังคัง เหงื่อออกทั้งวันไม่เท่าไร เพื่อนแอดมินบางคนแม่งใส่กางเกงในซ้ำ เนื่องจากไม่มีเวลาซัก นั่นแหละ สังคังก็ถามหา แอดมินเคยเป็นนะครับ ยอมรับแต่โดยดี เกามันส์ดีจริง ๆ ยิ่งเกาก็ยิ่งมันส์ ยิ่งมันส์ก็ก็ยิ่งคัน ยิ่งคืนก็ยิ่งเกา วนไปวนมาแบบนี้ แอดมินเกาจนเลือดซิบเลยให้ตายสิ แต่เมื่อแอดมินได้พบกับขี้ผึ้งเบอร์ 28 เป็นครั้งแรก ก็ช่วยรักษาได้จนหายเป็นปลิดทิ้ง แต่ต้องทาบ่อย ๆ นะ เพื่อนบางคนแนะนำให้ใช้ซีม่าโลชั่น แต่เขาว่ามันแสบ แอดมินเลยไม่ได้ใช้ และไม่คิดจะลองด้วย


การฝึกนักเรียนใหม่ ก็เป็นดังในคลิปนี้น่ะครับ แต่สำหรับแอดมิน  จะเป็นสมัยที่เตรียมทหารยังอยู่ที่ถนนพระราม 4 ครับผม เห็นไหม ฝึกหนักทั้งวัน เหงื่ออก แล้วยังงี้จะไม่ให้สังคังขึ้นได้ไง

ช่วงนี้ยิ่งเข้าระเบียบมากขึ้น ทุกอย่างต้องทำให้ได้เป๊ะ ๆ ตามคำสั่ง เริ่มมีการฝึกระบบฉาก เช่น เวลารับประทานอาหาร การเคลื่อนไหวของมือและแขนก็ต้องทำแบบหุ่นยนต์ นั่งหลังตรง เอาก้นวางได้แค่ 1ใน3 ของเก้าอี้ เข่าชิด ปลายเท้าชิด เอาเข่าหนีบผ้ากันเปื้อนไว้เลย ถ้าผ้ากันเปื้อนใครหล่นพื้นแสดงว่าเข่าแตก ต้องรับโทษ

ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งนานหลายวัน แอดมินยิ่งคิดถึงบ้าน ยิ่งเวลาเหนื่อย เวลาร้อน เวลาท้อแท้ ยิ่งคิดถึงบ้านมากขึ้นเป็นทวีคูณ ปกติอยู่บ้านสบายดี ไม่คิดว่าชีวิตจะต้องมาลำบากลำบนขนาดนี้ ป่านนี้เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนเก่าทำอะไรกันอยู่หนอ คงใช้ชีวิต ม.6 กันอย่างสนุกสนานซินะ ยิ่งคิดแบบนี้ จิตใจยิ่งเฟลลงไปใหญ่ แอดมินเองเพิ่งได้เรียนรู้จากโรงเรียนเตรียมทหารนี่แหละ ว่าเวลาคนเราออกจากบ้านมาแล้วเหนื่อย ลำบาก ท้อแท้ สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือ บ้าน อยากกลับบ้าน

เพื่อนบางคนเริ่มลาออกกันไปแล้ว บ้างติดปัญหาเรื่องสุขภาพ หอบหืดบ้าง บาดเจ็บบ้าง ปรับตัวกับระบบทหารไม่ได้บ้าง ท้อถอยเองบ้าง แอดมินเองก็เคยมีบางแว่บของจิตใจที่คิดจะลาออกเหมือนกัน แต่เมื่อนึกถึงความหวังของพ่อแม่ ไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจ นึกถึงตอนก่อนสอบเข้า เราเหนื่อยนะ ลำบากลำบานอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ ก็เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวทำให้จิตใจของแอดมินอดทนสู้ต่อไป

และแล้วเวลาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ เป็นสัปดาห์ที่น่าเบื่อและท้อแท้เป็นอย่างยิ่ง มีบ้างเวลาผ่อนคลาย โดยเฉพาะตอนเย็น ๆ ซึ่งมีเวลาให้นั่งรวมแถวแล้วให้เพื่อนออกไปพูดความรู้สึก หรือเล่าเรื่องตลก ๆ บ้าง แต่ก็เป็นเวลาแค่เล็กน้อย พอหล่อเลี้ยงความรู้สึกให้มันดีขึ้นมาได้บ้าง จู่ ๆ ก็มีการป่าวประกาศจากผู้กองท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ฝึกนักเรียนใหม่ และสั่งการด้วยวาจามายังคอมแมนด์ด้วย ว่าสัปดาห์นี้มีการเปลี่ยนแปลง จะปล่อยให้นักเรียนใหม่ได้กลับไปพักที่บ้านในวันเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ ยังความดีใจมาให้กับแอดมินและเพื่อน ๆ ยิ่งนัก ที่จะได้กลับบ้าน(สวรรค์ของเรา) โดยที่หารู้ไม่มาก่อนเลยว่า เหตุการณ์นี้จะนำมาซึ่งการหลั่งน้ำตาเป็นครั้งแรกของแอดมินในโรงเรียนเตรียมทหารแห่งนี้

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

ชีวิตนักเรียนใหม่เตรียมทหาร ตอนที่ 1 : ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้

หลังจากที่ร่ายยาวเรื่องกว่าจะสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารมาหลายตอน คิดว่าคงพอควรและมีประโยชน์กับผู้ที่สนใจบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ หลังจากนี้ไปแอดมินก็จะขอกลั่นกรองประสบการณ์การเป็นนักเรียนเตรียมทหารและนักเรียนเหล่ามาเล่าให้ฟังกันชนิดถึงกึ๋นถึงอารมณ์กันเลยทีเดียว

เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2542 (ไม่นานครับ ไม่นาน ขณะที่นั่งพิมพ์อยู่นี้เพิ่งผ่านมาได้แค่ 13 ปีเท่านั้นเอง ผมยังไม่แก่นะครับ) หลังจากการประกาศผลสอบเข้าเตรียมทหารรอบสุดท้าย มีชื่อ นายเสมา กระต่ายทอง อยู่บนบอร์ดประกาศผลที่กลางสนามเกิดผล โรงเรียนเตรียมทหาร (สมัยที่ยังอยู่ที่พระราม4)  ยังความปลาบปลื้มดีใจให้กับครอบครัวกระต่ายทองกันยิ่งนัก แอดมินกอดกับคุณแม่ดีใจกันเลยทีเดียว แม่ถึงกับออกปากชมว่า "เก่งมากลูก เก่งมาก" ทั้งที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินแม่ชมว่าเก่งเลยเนี่ยนะ ส่วนพ่อก็โทรศัพท์มือถือ (เพิ่งซื้อมาใหม่ตอนนั้น) บอกญาติพี่น้อง นี่ถ้าประกาศออกทีวีแบบคณะปฏิวัติรัฐประหารได้ คงทำไปแล้ว

บรรยากาศวันนั้นแม้ร้อนอบอ้าว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ครอบครัวของเราย่อท้อ เนื่องจากดีใจกันจนลืมอากาศร้อน แอดมินก็เตรียมตัวจะขึ้นไปรายงานตัว ณ อาคารกองพลศึกษา โรงเรียนเตรียมทหาร พร้อม ๆ กับว่าที่นักเรียนเตรียมทหารคนอื่นที่สอบผ่านรอบสุดท้าย ดูจากหน้าตาแต่ละคนแล้ว คงนึกกันไม่ค่อยถึงว่าจะเจออะไรบ้างเมื่อได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารนี่จริง ๆ

โดยสีหน้าของนักเรียนที่สอบผ่านมักจะเป็นแบบนี้ ขออนุญาตน้องเจ้าของภาพด้วยนะครับ รู้สึกจะเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 54 ห่างกับผมแค่ 1 รอบเท่านั้นเอง นิดเดียว
ที่มาของภาพ : http://www.thaicadet.org/article/Drop_For_What.html

สนามเกิดผล ในอดีต ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของสวนลุมไนท์บาร์ซ่า
ที่มาของภาพ : http://www.navy84.com/index.php?lay=show&ac=photo_view&event_id=1201&pagephoto=1

เมื่อรายงานตัวเสร็จเรียบร้อยก็นัดวันทำสัญญานั่นโน่นนี่หลายอย่าง สุดท้ายก็ถึงวันส่งตัวเข้าโรงเรียนเตรียมทหารสักที โดยกำหนดการที่แจ้งให้ทราบมาแล้วล่วงหน้าก็คือ จะไม่มีการปล่อยพักบ้านในช่วงการเป็นนักเรียนใหม่เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ซึ่งนักเรียนที่เข้ามาเป็น นตท.ชั้นปีที่ 1 ใหม่ ๆ จะไม่ถูกเรียกว่าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร แต่จะเรียกกันว่า "นักเรียนใหม่" เนื่องจากเป็นช่วงที่เป็นการปรับจากนักเรียนพลเรือน มาเป็นนักเรียนทหาร อย่างที่ภาษาทหารเขาเรียก "สีเขียวยังไม่จับกบาล" ว่างั้นเหอะ

สำหรับตัวแอดมินเอง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยจากบ้านนาน ๆ รู้ดังนี้เข้าก็หวั่น ๆ เหมือนกัน แต่ก็เอาวะ ลองดูสักตั้ง โดยการรายงานตัวในวันแรกไปพร้อมสัมภาระตามที่โรงเรียนเตรียมทหารกำหนดให้นำไป เช่นของใช้ส่วนตัว เล็กน้อย ๆ เดี๋ยวอย่างอื่นโรงเรียน ฯ จะแจกให้เอง การแต่งกายไปรายงานตัวพร้อมเข้าศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร ปัจจบันแอดมินไม่แน่ใจว่าเปลี่ยนแปลงหรือยัง แต่ตอนนั้น(ปี 2542) ใช้การแต่งกายคือ ชุดนักเรียนโรงเรียนเก่านั่นแหละ แต่ให้เลาะชื่อโรงเรียน ชื่อตัว สัญลักษณ์ต่าง ๆ จากโรงเรียนเก่าออกให้หมด ส่วนทรงผมให้ตัดสั้นเกรียน สั้นจนเกือบจะโกนเลยก็ว่าได้ คือด้านข้างเกรียน ด้านบนอนุญาตให้ไว้ยาวได้เท่าหัวไม้ขีดสีแดง ๆ แต่สิ่งที่แปลกตาดีก็คือ เมื่อนักเรียนใหม่มาเข้าแถวรวมกัน หัวเกรียนเหมือนกัน เสื้อนักเรียนสีขาวเหมือนกัน แต่กางเกงนักเรียนนี่ บางคนก็สีดำ บางคนสีน้ำตาล บางคนสีน้ำเงิน มารวม ๆ กันในแถวก็แปลกตาดีนะครับ

เมื่อรวมแถวกันก็มีการแนะนำนักเรียนบังคับบัญชา หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า "คอมแมนด์" ย่อมาจาก commander ที่แปลว่าผู้นำ เป็นนักเรียนเตรียมทหารปี 2 (รุ่น 41) ให้พวกเราได้รู้จัก ตัวแอดมินเองก็ไม่ค่อยได้สนใจหรอกครับ แต่ก็ดูเท่ห์ดี เครื่องแบบชุดปกตินักเรียนเตรียมทหารฟิตเปรี๊ยะ ตึงทุกสัดส่วน เห็นแล้วอยากใส่บ้าง

นักเรียนใหม่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กองพัน คือสั่งกัดกองพันนักเรียนที่ 2 และกองพันนักเรียนที่ที่ 4 แต่ละกองพันแบ่งได้อีก 3 กองร้อย กองร้อยละ 3 หมวด  ส่วนตัวแอดมินเองอยู่ หมวด 1 ร้อย 3 กองพันที่ 2 โรงนอนอยู่ชั้น 5 ของตึกกองพันที่ 2 แน่ะ เรียกว่าวิ่งขึ้นไปนี่เมื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน

กองพันนักเรียน โรงเรียนเตรียมทหารในขณะนั้น

หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นการพาเยี่ยมชมและแนะนำสถานที่ และการรับประทานอาหารกลางวัน โดยการเคลื่อนไหวของนักเรียนใหม่จะเป็นการวิ่งทั้งหมด เหงื่องี้ออกตลอดเวลา โดยในวันแรกนี้จะไม่เข้มระเบียบมากนัก ซึ่งจุดมุ่งหมายของระบบนักเรียนใหม่ก็คือการค่อย ๆ ปรับสภาพ จากนักเรียนพลเรือนมาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร โดยค่อย ๆ สอนระบบระเบียบทหารไปทีละเล็กทีละน้อย หากเล่นหนักตั้งแต่วันแรกเลย สงสัยลาออกกันยกแผง ซึ่งการฝึกปรับสภาพมีเวลาทั้งสิ้น 3 สัปดาห์ หากมีคนลาออกในช่วงนี้จะไม่เสียค่าปรับ และทางโรงเรียน ฯ จะเรียกผู้ที่สอบได้อันดับสำรองเข้ามาแทนที่แต่ถ้าไปลาออกทีหลังจาก 3 สัปดาห์แรกไปแล้วล่ะก็ต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท

สิ่งทีสร้างปัญหาให้แอดมินก็คือ การหัดนั่งท่าอัศวินครับ ใช้เวลานั่งฟังคำชี้แจง กระทำโดยเริ่มจากท่ายืน ตบเท้าขวาไปด้านหน้าเล็กน้อย แล้่งนั่งย่อลง มือขวากำหลวม แขนท่อนล่างพาดบนเข่า แลดูสมาร์ท เหมือนอัศวินกำลังนั่งรอฟังคำบัญชาจากพระราชาเลยนะครับ ขออภัยที่หาภาพมาให้ดูไม่ได้ แอดมินอยากบอกว่า นั่งนาน ๆ มันเมื่อยนะครับ แม้จะเปลี่ยนข้างคุกเข่าแล้วก็ตาม นั่ง ๆ ลุก ๆ ลุก ๆ นั่ง ๆ บ่อยเหลือเกิน เข่าดังกร๊อบเลยนะ ปวดอะครับ วิ่งกะเผลกเลยวันแรก (สงสัยเราจะอ่อนแอจริง ๆ ) 

จากที่บอกไปแล้วในวันแรก ระเบียบจะยังไม่ค่อยเข้มเท่าไร แต่สำหรับนักเรียนใหม่แล้วการเคลื่อนที่ออกนอกชายคาใช้การวิ่งเสมอ แม้จะวิ่งไปรับประทานอาหารก็ตาม สถานที่รับประทานอาหารของทหารเขาเรียกว่าโรงเลี้ยง การนั่งรับประทานจะนั่งเป็นวง โต๊ะสี่เหลี่ยม มีหม้อข้าวและโถน้ำ มีกับข้าว 2-3 อย่าง ภาชนะที่ใช้เป็นสแตนเลส มื้อแรกก็กินกันเสียงดังโช้งเช้ง ๆ ประหนึ่งดูหนังจีนกำลังภายในสู้ฟันกันด้วยดาบก็ไม่ปาน ภาษาทหารเขาเรียกว่า "กินเสียงดังยังกะโรงตีเหล็ก" แต่ไม่เป็นไร มื้อแรก ๆ คอมแมนด์อนุญาตให้รับประทานตามสบายก่อนได้ เดี๋ยวจะเข้าระเบียบในมื้อถัด ๆ ไป 

โรงเลี้ยงเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นบนเป็นโซนนิ่งของพี่ชั้นปีที่ 2 ส่วนนักเรียนใหม่ทานที่ชั้นล่าง มีพนักงานโรงเลี้ยงคอยเติมข้าวเต็มน้ำให้เรา เมื่อข้าวหมดโถ น้ำหมดเหยือก แอดมินขอสารภาพว่า มื้อแรกของแอดมินในโรงเรียนเตรียมทหาร คือมื้อเที่ยง หิวมาก ซัดไปตั้ง 3 จานแน่ะ

ภารกิจในช่วงบ่ายก็ยังคงเป็นการแนะนำสถานที่ เนื่องจากโรงเรียนเตรียมทหารกว้างมาก วิ่งไปวิ่งมาหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น กรมนักเรียน ส่วนการศึกษา กองพลศึกษา ฯลฯ เล่นเอาเพลียเลยครับ

ตกเย็นมาเป็นการอาบน้ำ ใจเริ่มตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ เนื่องจากได้ยินมาว่าทหารอาบน้ำรวม เกิดมายังไม่ให้ใครเห็นปิ๊กาจู้เลยให้ตายสิ เขินนะเนี่ย แต่พอเอาเข้าจริง พี่คอมแมนท่านให้ยืนเข้าแถวปลายเตียงนอน แล้วสั่งให้ทุกคนแก้ผ้าอย่างเร็ว บอกว่านักเรียนไม่ต้องอาย ผู้ชายเหมือนกัน ผลน่ะเหรอครับ ทุกคนแก้ผ้าอย่างไว มีบ้างอิดออด เอามือปิด ๆ สงสัยจู๋เล็ก แต่เราไม่มีเวลาอายจริง ๆ ครับ หลังจากแก้ผ้าแล้ว คอมแมนด์ท่านให้เวลาเราอาบน้ำแค่ 3 นาทีเท่านั้น ทุกคนวิ่งไปอาบน้ำอย่างไว

ห้องอาบน้ำเป็นห้องกว้าง ๆ ด้านซ้ายและขวาเป็นอ่างน้ำยาว มีน้ำอยู่เต็มให้พวกเราได้ใช้ขันจ้วงกันอย่างเมามันส์ ส่งเสียงดังเอะอะ จนคอมแมนด์ต้องเดินมาเร่งให้อาบเร็ว ๆ พร้อมนับถอยหลัง 10 9 8 7 ...... 2 1 พวกเราจึงต้องรีบวิ่งโทง ๆ เหมือนผีเปรตออกไปแต่งกายเป็นชุดพละ พร้อมปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ในช่วงค่ำต่อไป 

แล้วเวลาเข้านอนก็มาถึง แอดมินยอมรับว่าเหนื่อยมากครับ เซ็งด้วย อะไรกันนักกันหนา ทั้งวันเลย ไม่มีเวลาว่างให้เราบ้างหรือไง จิตใจมันสับสน กำลังใจถดถอย คิดถึงบ้านก็คิดถึง นี่อะไรกัน เรามานอนโรงนอนขนาดยาว เพื่อนนอนอยู่เต็ม เตียงข้าง ๆ แอดมินเป็นเพื่อนเหล่าตำรวจ มาจากจังหวัดสตูล เป็นเพื่อนคนแรกของผมในโรงเรียนเตรียมทหาร (ปัจจุบันรับราชการอยู่ที่ สภ.สงขลา) เราปรับทุกข์กันเล็กน้อย เพราะต่างคนต่างก็ใหม่เหมือนกัน วันนี้โดนทำโทษเล็กน้อย แค่ดันพื้น พรุ่งนี้จะเจออะไรบ้างหนอ คิดถึงบ้านจัง อยากกลับบ้าน คิดถึงเพื่อนที่โรงเรียนเก่าด้วย เงยหน้ามองบนเพดานก็เจอพัดลมขนาดใหญ่ นี่เรามาทำอะไรที่นี่หนอ คิดถึงจุดนี้แล้วแอดมินก็ผลอยหลับไป

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการทำข้อสอบเข้าเตรียมทหาร

วันนี้แอดมินจะมาแนะนำวิธี และเทคนิคการทำข้อสอบเข้าเตรียมทหาร รวมถึงการปฏิบัติตัวในวันสอบภาควิชาการด้วยนะครับ ตบท้ายด้วยเทคนิคการเดาข้อสอบ ก่อนอื่นจะขอยกเนื้อความจากตอนก่อนซึ่งเป็นการแนะนำการปฏิบัติตัวในวันสอบอีกครั้งนะครับ


คำแนะนำในวันสอบ
จากประสบการณ์ของแอดมิน ที่ใช้เวลาในการสอบถึง 2 ปี กว่าจะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร ขอให้คำแนะนำดังนี้ครับ
  • คืนก่อนสอบเข้านอนแต่หัวค่ำ สมองจะได้ปลอดโปร่ง เตรียมสู้ศึกหนักในวันพรุ่งนี้
  • ไปถึงสนามสอบก่อนเวลา ขี้หมูขี้หมาเลยนี่อย่างน้อย สัก 3 ชั่วโมงนะครับ จะได้มีเวลาเดินดูสถานที่ ผังห้องสอบ (ส่วนโต๊ะสอบเขาไม่ให้ดูหรอกครับ ดูได้แต่แผนผังที่จัดไว้ เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริต) มีเวลาเข้าห้องน้ำห้องส้วม และทานข้าว
  • รับประทานอาหาร และขับถ่ายเบา-หนัก ให้เรียบร้อย เนื่องจากเป็นการสอบที่ใช้เวลานาน ไม่ต่ำกว่า "ครึ่งวัน" เพราะฉะนั้นควรรับประทานอาหารก่อน ให้พออยู่ท้อง แต่ไม่ต้องอิ่มจนแน่นนะครับ ระหว่างทำการสอบ จนท.จะไม่อนุญาตให้ออกจากห้องสอบก่อนเวลา เว้นแต่เข้าห้องน้ำห้องส้วม ซึ่งก็จะมีเจ้าหน้าที่(นักเรียนเหล่านั้นแหละ) ติดตามไปด้วย และค้นร่างกายทุกครั้งหลังเข้าและออกห้องน้ำ
  • เตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียนไปให้เพียงพอ ไม่มีการให้หยิบยืมกันนะครับ
  • ไม่ควรพกของมีค่ามากเกินไป เพราะวันสอบมีจำนวนคนมาก แค่นักเรียนที่มาสอบก็หลักหมื่นแล้ว ยังไม่รวมผู้ปกครองและญาติสนิทมิตรสหายของนักเรียนอีกด้วย หากเกิดการสูญหายแล้วจะหายากนะครับ
  • อย่าทุจริตในการสอบเด็ดขาด อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนะครับ
  • อย่าหลงเชื่อบุคคลที่แอบอ้างว่ารู้จักคนใหญ่คนโต สามารถวิ่งเต้นให้สอบได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย(จำนวนมาก) ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเองครับ ลูกชาวนาชาวไร่ชาวสวนสอบติดเยอะแยะไป เพื่อนแอดมินหลาย ๆ คนที่บ้านเขาก็ทำนาครับ

เทคนิคการทำข้อสอบเข้าเตรียมทหาร
แน่นอนครับ นี่แหละสิ่งที่เรารอคอย ทำยังไงน้าถึงจะทำข้อสอบได้เยอะ ๆ อ่านหนังสือมาก็มากแล้ว รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเอาเสียเลย แอดมินขอแนะนำเทคนิคการทำข้อสอบดังนี้ครับ
  • สงบจิตใจ เพื่อให้เกิดสมาธิ - ตอนนี้ต้องตัดความกังวลต่าง ๆ ออกก่อนนะครับ เรื่องแฟนนี่ต้องตัดออกก่อนเลยนะ ไม่งั้นมันกังวล ถ้าเขารักเราจริง เขาต้องเอาใจช่วยให้เรามีอนาคตที่สดใสด้วย ระลึกถึงสิ่งที่เคยได้ทำมา เวลาที่เราตั้งใจเรียน เวลาที่เราอ่านหนังสือ กำลังใจที่ได้รับจากคุณพ่อคุณแม่ญาติพี่น้อง และอาจารย์ ไม่ต้องนานครับ นั่งนิ่ง ๆ หลับตาแค่นาทีเดียวก็พอ
  • ปฏิบัติตามคำสั่งของกรรมการคุมสอบอย่างเคร่งครัด - ยังไม่ต้องกังวลครับ ได้ทำข้อสอบแน่นอน กรรมการคุมสอบสั่งอะไร ห้ามทำอะไร เริ่มทำตอนไหน ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ฝึกไว้ครับ ให้มีวินัยในตัวเอง
  • ตรวจข้อสอบ - เมื่อได้รับสัญญาณให้ทำแล้วรีบเปิดข้อสอบดูเลยครับ ข้อสอบมีกี่หน้า จำนวนหน้าครบไหม มีส่วนไหนไม่ชัดเจนหรือเปล่า ให้รีบแจ้งกรรมการคุมสอบแต่เนิ่น ๆ ครับ
  • เขียนชื่อ - ฝนรหัสประจำตัวให้ชัดเจน ตรวจสอบให้ถูกต้องด้วยครับ
  • ทำวิชาที่ถนัดก่อน - เมื่อเริ่มทำข้อสอบ ให้ตะลุยทำวิชาที่ถนัดก่อนเลยครับ เพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเรา เสร็จแล้วค่อยทำวิชาที่ถนัดรอง ๆ ลงไป วิชาที่ถนัดน้อยที่สุดเก็บไว้หลังสุดเลยครับ
  • ทำไม่ได้เว้นไว้ก่อน - อย่าไปเสียเวลา มาทำทีหลังเผลอ ๆ คิดออกได้เฉยเลยก็มีนะ
  • ตรวจทานก่อนส่ง - เช็คคำตอบคร่าว ๆ ก่อนส่งเพื่อเพิ่มความมั่นใจครับ
เทคนิคการเดาข้อสอบ
แอดมินยังไม่เคยเห็นตำราไหนมีวิธีการเดาข้อสอบแบบแม่น ๆ เลย (แน่ละ ถ้ามีจริงก็คงไม่ต้องอ่านหนังสือหนังหากันแล้ว) แอดมินจึงเอาประสบการณ์ตัวเองที่เคยเดาคำตอบมาบ้าง มาบอกกล่าว ถึงแม้ไม่ถูก 100% แต่ก็คงมีโอกาสถูกมากกว่าไม่ถูกแหละครับ
1.ตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่แน่นอนออกก่อน - ปกติช้อยส์ที่ให้เลือกตอบจะมี  ก.ข.ค.ง. และ จ. ปกติแล้วโอกาสเดาถูกมีแค่ 1 ใน 5 หรืือ 20% แต่ถ้าเราตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่แน่ ๆ ออก 1 ตัว นั่นคือเหลืออีก 4 ตัวเลือก โอกาสเดาถูกจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ถ้าตัดคำตอบที่ไม่ใช่แน่ ๆ ได้อีก โอกาสเดาถูกก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 33.33% แน่ล่ะครับ เมื่อตัดจนเหลือ 2 ตัวเลือก โอกาสถูกก็จะเป็น 50-50

2.ถ้าไม่รู้คำตอบเลยจริง ๆ ก็เว้นไว้ก่อน แล้วเมื่อทำข้อสอบเสร็จหมดแล้ว ค่อยกลับมาเดาข้อที่ว่างไว้ หลักการของแอดมินก็คือ เราลองนับดูสิ ว่า เรากาช้อยส์ไหนไปน้อยทีสุดในบรรดาข้อสอบทั้งหมด นั่นแหละ เราก็เดาโดยการกาข้อนั้น ๆ ไปเลย ยกตัวอย่างเช่น ข้อสอบมี 100 ข้อ แอดมินทำไปได้ 95 ข้อ เหลือ 5 ข้อที่ทำไม่ได้จริง ๆ แอดมินก็ลองนับดูว่า 95 ข้อที่ทำไปแล้วนั้น แอดมินกาช้อยส์ละกี่ข้อกัน ปรากฎว่า นับแล้วแอดมินกาข้อ ก.ไป14 ข้อ ข.11 ข้อ ค.25 ข้อ ง.20 ข้อ และ จ.25 ข้อ เพราะงั้น ข้อที่ว่างไว้ 5 ข้อ แอดมินก็จะกา ข.ทั้งหมด

เป็นยังไงบ้างครับ ถึงแม้จะไม่ชัวร์ แต่ก็เดาแบบมีหลักการนะครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ เพราะแอดมินเคยได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งเ่ล่าให้ฟังมาก่อน แอบบอกความลับว่าตอนแอดมินสอบเหล่าทหารบก ข้อที่ทำไม่ได้ แอดมินเลือกกาข้อ จ.แหละครับ 555

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการเรียนกวดวิชาเพื่อสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร 2

เป็นยังไงบ้างครับ ตอนนี้น้อง ๆ หาที่เรียนกวดวิชากันได้หรือยัง ถ้ายังต้องรีบแล้วนะครับ อย่าปล่อยเวลาผ่านไปน่าใจหาย สถาบันกวดวิชาเข้าเตรียมทหารมีเยอะพอสมควรนะครับ แต่ต้องพิจารณาให้ดี ๆ ครับ แอดมินขอพูดตามตรงจากประสบการณ์ว่าโรงเรียนกวดวิชาที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ เน้นแต่ด้านธุรกิจ โฆษณาเกินจริง ไม่ใส่ใจเด็กนั้น แอดมินเห็นมาพอสมควร โรงเรียนกวดวิชาที่ดีนั้นต้องเอาใจใส่เด็ก แล้วก็ทุ่มเทให้กับเด็กที่มุ่งมั่นตั้งใจเรียนครับ ส่วนเด็กที่เกเร หรือทำความเดือดร้อนให้เพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนนั้น ก็ต้องกล้าส่งกลับบ้านครับ คือไม่ให้คนส่วนน้อยที่ไม่ดี มารบกวนหรือทำให้คนที่ตั้งใจมาเรียนเสียสมาธิเป็นอันขาด

การเรียนกวดวิชาในโค้งสุดท้ายก่อนสอบนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก (แต่ไม่ได้หมายความว่าใครไม่เรียนแล้วจะสอบไม่ติด) แต่ที่สำคัญก็คือการเตรียมความพร้อมให้ถึงจุดสูงสุด ก่อนที่จะลงสนามสอบแข่งกับคนอื่น โดยปกติแล้วเด็กที่มาสมัครสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารจะมีอยู่ประมาณ 20,000 คนไม่น่าต่ำกว่านี้ (รวม 4 เหล่าแล้ว) แต่แอดมินว่าเด็กนักเรียนที่มีความพร้อม และตั้งใจจริง ๆ ฟิตมาจริง ๆ พร้อมจริง ๆ นั้นไม่น่าจะเกิน 3,000 คนเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือก็เป็นเด็กที่มาสอบแบบพ่อแม่อยากให้สอบบ้าง มาลองข้อสอบบ้าง สอบตามเพื่อนบ้างซะเยอะ แต่ก็นั่นแหละ จะมีใครสักกี่คนที่เตรียมตัวล่วงหน้าและมีความพร้อมที่จะสอบจริง ๆ

ตอนแอดมินอยู่ ม.5 แอดมินใช้เวลาเตรียมตัวก่อนสอบเป็นเวลาประมาณ 8 เดือน ตั้งแต่ประมาณเดือนมิถุนายน 2541 - กุมภาพันธ์ 2542 โดยอ่านหนังสือ นิยาม เนื้อหา สูตร ข้อควรจำต่าง ๆ แล้วจดลงในสมุด อ่านทบทวนบ้าง เรื่องกีฬายอมรับว่าเลิกเล่นไปเลย เพราะแอดมินเคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของโรงเรียนตอนเรียนมัธยมอยู่ด้วย จำใจต้องเลือกอนาคต เพราะอยากสอบติดเป็นนักเรียนเตรียมทหารให้ได้ จากนั้นก็เข้าเรียนกวดวิชาในโค้งสุดท้าย โดยสอบได้อยู่ห้อง 1 ของสถาบันนั้นครับ

ทีนี้ก็มาถึงเทคนิคการเรียนกวดวิชายังไงให้ได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารแล้วนะครับ ซึ่งถ้าอยากสอบได้นั้น ควรมีสิ่งที่ต้องยึดถือดังนี้ครับ
1.มีความมุ่งมั่นตั้งใจ
2.ขยันหมั่นเพียร
3.มีความกตัญญูรู้คุณ

2.ระหว่างเรียนกวดวิชา
เทคนิคการเรียนกวดวิชาเพื่อจะเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้นควรยึดหลัก มุ่งมั่น-ขยัน-กตัญญู ตามที่แอดมินได้กล่าวไว้แล้วนะครับ

2.1 มุ่งมั่น - มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ไหน ๆ ก็เสียเงินมาเรียนแล้วต้องไขว่คว้าความรู้กลับไปให้ได้มากที่สุด มีสมาธินะครับ ไม่ว่อกแว่ก เรื่องแฟนตัดไว้ก่อน เข้าใจว่าวัยหนุ่ม กำลังมีฟามรัก แต่ตัดได้ตัดไปก่อน สอบติดแล้วค่อยว่ากัน ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่ยอมรอเรา งอแงช่วงที่เรากำลังกวดวิชา เลิกได้ก็เลิกเลยครับ ถือว่าเขาไม่รักเราจริง ไม่ได้อยากให้เราได้ดี

ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน จดได้จด ไม่เข้าใจยกมือถาม ไม่ต้องอาย รู้ไหมครับว่าคนสอนเขาอยากให้นักเรียนถามนะครับ เขาจะได้รู้ว่านักเรียนไม่เข้าใจตรงไหน ถ้าเงียบ อาจารย์เขาก็ไม่รู้ว่าเรายังขาดตกบกพร่องตรงไหน

2.2 ขยัน - ขยันหมั่นเพียร นอกจากตั้งใจเรียนในห้องเรียนแล้ว ยังต้องทำแบบฝึกหัดทบทวนนะครับ โค้งสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องอ่านเนื้อหามาก เน้นทำแบบฝึกหัดอย่างเดียว โดยเฉพาะข้อสอบเก่า ต้องทำให้มาก ๆ เพราะข้อสอบไม่หนีไปจากนั้นเท่าไรหรอกครับ วนไปวนมาซ้ำไปซ้ำมา

วันนี้เรียนวิชาไหน กลางคืนก็ทำแบบฝึกหัดวิชานั้นก่อนนอนครับ เน้นวิชาที่มีน้ำหนักคะแนนมากก่อน คือคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ครับ เช่น ถ้าน้อง ๆเรียนกวดวิชาทั้งหมด 30 วัน ควรเลือกทำแบบฝึกหัดวิชาคณิตศาสตร์ 9 วัน วิทยาศาสตร์ 9 วัน ภาษาอังกฤษ 7 วัน และภาษาไทย+สังคมศึกษา 5 วันครับ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าคะแนนเลข+วิทย์ รวมกันแล้วสูงถึง 400 คะแนนจาก 700 คะแนนนะครับ เกินครึ่งนะบอกไว้ก่อน

2.3 กตัญญู - กตัญญูรู้คุณ หมายถึงต้องมีความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา หรือผู้ปกครองที่ได้จ่ายเงินค่าเล่าเรียนให้เรา ได้มาเป็นนักเรียนติวเข้าเตรียมทหาร แอดมินขอบอกว่าไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลยนะครับ พวกเรายังไม่ได้หาเงินเอง คงไม่เข้าใจ เงินหมื่นกว่าบาท สองหมื่นกว่าบาท หรือบางคอร์สเป็นแสนเลยก็มี มาจากการทำงานของคุณพ่อคุณแม่ทั้งนั้นครับ หาได้เสกเงินมาอย่างใดไม่ พวกเรายังเด็ก ไม่ต้องหาเงินช่วยพ่อแม่หรอกครับ หน้าที่ของเราคือตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เราต้องให้ท่านเห็นว่าเราตั้งใจจริง มุ่งมั่นจริง ขยันจริง ถึงแม้สอบไม่ได้ดั่งใจ แต่คุณพ่อคุณแม่ท่านคงไม่เสียใจ ไม่ใช่มาเรียนแล้วก็เกเรโดดเรียนไปวัน ๆ

แอดมินเห็นมาจากประสบการณ์เยอะแล้วนะครับ ทั้งขณะที่กำลังเรียนกวดวิชาอยู่ ขณะเป็นนักเรียนเตรียมทหาร-นักเรียนนายร้อยไปช่วยคุมเด็กกวดวิชา ทั้งเป็นคนสอนเอง เด็ก ๆ ที่มาเรียน พอจับกลุ่มกันได้ก็อยากเที่ยว ไปเล่นเกมตามร้านเกมบ้าง ไปเดินห้างบ้าง โดดเรียนนอนอยู่ในห้องบ้าง ผลที่ได้น่ะเหรอครับ เด็กพวกนี้ "ไม่มีใครสอบติดแม้แต่คนเดียว!" เพราะฉะนั้น แอดมินขอเถอะครับ น้อง ๆ ที่มาเรียนพิเศษ ต้องตั้งใจเรียนเพื่อเป็นการตอบแทนให้ผู้มีพระคุณของเรานะครับ

ทุกวันนี้แอดมินยอมรับว่า ตัวเองได้ประสบความสำเร็จในชีวิตมาได้จุด ๆ หนึ่งแล้ว (แต่ยังมีเป้าหมายให้ทำอีกมากมาย) แอดมินมาถึงจุดนี้ได้เพราะยึดหลัก 3 ข้อนั้นแหละครับ "มุ่งมัน-ขยัน-กตัญญู" ถ้าถามว่า
ที่ผ่านมาเหนื่อยไหม?
เหนื่อยครับ
เคยท้อไหม?
 เคยท้อครับ
 แล้วผ่านมาได้ยังไง?
แอดมินก็ยึดหลัก 3 ข้อนั่นแหละครับ เวลาท้อแท้มาก ๆ คนที่แอดมินนึกถึงไม่ใช่แฟนนะครับ แต่ก็คือพ่อแม่นั่นแหละครับ ที่เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เราผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ มาได้ครับ ท้อได้ครับ แต่อย่าถอย มีทัศนคติที่ดีเข้าไว้ ปัญหามีไว้แก้ อุปสรรคมีไว้พุ่งชนครับ

สุดท้ายนี่แอดมินขอฝากเพลงนึงไว้ครับ ซึ่งเป็นเพลงที่แอดมินชอบมากเพลงนึง เอาไว้ฟังเพลงพบเจอปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตครับ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ ซึ่งพลาดไม่ได้เลย เทคนิคการทำข้อสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารครับผม

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการเรียนกวดวิชาเพื่อสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร 1

ณ ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่ประมาณ 2 เดือนนิด ๆ เท่านั้นเองก็จะถึงวันสอบแล้วนะครับ เป็นยังไงบ้าง น้อง ๆ เตรียมตัวกันหรือยัง ถ้ายัง ด่วนเลยนะครับ ต้องรีบเลยนับจากนาทีนี้เป็นต้นไป ไม่งั้นโอกาสไม่ทันมีสูงนะครับ

ผู้ปกครองและนักเรียนหลาย ๆ คนก็คงเริ่มที่จะมองหาที่เรียนกวดวิชากันแล้วใช่ไหมครับ ในตอนนี้แอดมินมีเทคนิคการเรียนกวดวิชามาฝากครับ ซึ่งจากประสบการณ์ของแอดมินเอง พอจะสรุปได้ 2 ขั้นตอน ดังนี้
1.การเตรียมตัวก่อนไปเรียนกวดวิชา
2.ระหว่างการเรียนกวดวิชา


การเตรียมตัวก่อนไปเรียนกวดวิชา

1.เตรียมอ่านเนื้อหาพื้นฐานไปก่อน สำคัญมากนะครับ หากไม่มีความรู้พื้นฐานแล้วไปเรียนเลย เนื่องจากคอร์สกวดวิชาส่วนมากนั้นมีเวลาค่อนข้างจำกัด ประมาณ 1 เดือนเศษ ที่จะต้องเรียนเนื้อหาพร้อมทำแบบฝึกหัด แน่นอนว่าจะต้องไปเร็วเป็นพิเศษเพราะเนื้อหาข้อสอบเข้าเตรียมทหารนั้นค่อนข้างยาก ถ้าไม่มีความรู้พื้นฐานไปเลย มักจะตามเพื่อนไม่ทันครับ เมื่อตามไม่ทันก็ท้อ หมดกำลังใจเอาง่าย ๆ

ทางที่ดีควรอ่านสรุปเนื้อหาทุกวิชาในชั้น ม.ต้นไปล่วงหน้าก่อน อย่างน้อยให้มีความรู้พื้นฐานเพียงพอ เมื่อไปเรียนกวดวิชาแล้วจะได้พร้อมสำหรับการเรียนการสอนแบบไปไว ๆ ของคอร์สกวดวิชา ยิ่งรู้มากยิ่งมีสิทธิ์มากครับ สมัยแอดมินอยู่ ม.5 แอดมินเตรียมตัวสอบประมาณ 8 เดือนเลยทีเดียว โดยอ่านสรุปทุกวิชา โดยค่อย ๆ ทะยอยอ่านไปก่อนเรื่อย ๆ ครับ

2.ใช้สมุดแยกวิชาละ 1 เล่ม ควรจัดแยกวิชาละเล่มครับ อย่าให้ไปปนกัน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะดวกในการเปิดหาสูตร นิยาม กฎต่าง ๆ รวมถึงแกรมม่าครับ

3.สรุปเนื้อหาสำคัญ สูตร นิยาม ลงในสมุด ไม่จำเป็นต้องลอกทั้งหมดนะครับ เราอ่านหนังสือเรียน แล้วเราก็ทำความเข้าใจและจดสูตร นิยามต่าง ๆ พร้อมตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงในสมุดครับ แอดมินเคยทำแล้ว ช่วยได้เยอะเลยทีเดียว

4.ฝึกทำแบบฝึกหัดพื้นฐาน ทำไมต้องแบบฝึกหัดพื้นฐาน ก็เพราะแอดมินอยากให้พวกเรา "แม่น" ในพื้นฐานของวิชาต่าง ๆ เสียก่อน เมื่อแม่นแล้ว เราจะพร้อมและไม่ยากที่จะขยับไปทำโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้น เช่นวิชาคณิตศาสตร์ ก็หมั่นทำแบบฝึกหัดในหนังสือเรียนนั่นแหละครับ แอดมินรับรองว่าไม่น่าจะยากกว่าข้อสอบเข้าเตรียมทหาร หรือวิชาวิทยาศาสตร์ ในแบบเรียนมักจะโจทย์ไม่ซับซ้อนมาก แก้ปัญหาแค่ 1-2 ชั้น ซึ่งข้อสอบเตรียมทหารมักจะยากกว่านั้นครับ

เหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่า ๆ คอร์สเตรียมทหารที่เด็ก ๆ จะไปเรียนกวดวิชานั้นก็คงจะเปิดกันแล้ว ใช้เวลา 1 เดือนที่เหลือนี่แหละครับ งดเล่น งดเที่ยวสักพัก ไม่ตายหรอกครับ หันมาตั้งใจอ่านหนังสือ มุ่งมั่นสู่การเป็นนายร้อยกันดีกว่า รุ่นพี่คนหนึ่งของแอดมินเคยพูดไว้ว่า "ยอมเสียเวลาอ่านหนังสือตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่แค่ 1-2 เดือนที่เหลือนี้ แลกกับอนาคตที่มั่นคงไปทั้งชีวิต" ถ้าสอบได้ คุ้มยิ่งกว่าคุ้มนะครับ

แอดมินเข้าใจชีวิตเด็กมัธยมนะครับ (เพราะตัวเองก็เคยเป็นเด็กมัธยมมาก่อน) การเล่นกับเพื่อนมันสนุกแค่ไหน แอดมินทราบครับ แต่เวลาเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว ทนเหนื่อยอ่านหนังสือหน่อยครับ ตอนนี้ขอลากันไปด้วยเพลง ๆ หนึ่งซึ่งแอดมินชอบมากครับ เวลาที่เหนื่อย ท้อแท้ หมดกำลังใจ ก็มักจะฟังเพลงนี้ มันทำให้กลับมีกำลังใจขึ้นอีก สำหรับตอนหน้า จะเป็นเทคนิคระหว่างการเรียนกวดวิชานะครับ

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ : กว่าจะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร ตอนที่ 2

ตอนนี้ก็มาถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการสอบรอบที่สองแล้วนะครับ จากที่กล่าวไปในตอนที่แล้วว่า ต่อให้เตรียมตัวสอบรอบสองอย่างไร แต่ถ้าสอบภาควิชาการในรอบแรกไม่ผ่าน ก็ไม่มีประโยชน์ต่อการสอบเลยนะครับ

แต่ก็ไม่ใช่การเตรียมตอบสอบรอบสองนั้นไม่สำคัญ ควรเตรียมร่างกายแต่พอดี ออกกำลังกายบ้าง ไม่ใช่ว่าอ่านหนังสืออย่างเดียวไม่ออกกำลังกายเลย หรือออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง เตะบอลจนเย็นจนค่ำ สุดท้ายเหนื่อยอาบน้ำนอน ไม่ได้อ่านหนังสืออีก ยังไงๆ ก็เดินทางสายกลางละกันนะครับ

หลังจากสอบภาควิชาการเสร็จแล้ว กว่าจะประกาศผลก็อีกประมาณ 2 สัปดาห์นั่นแหละครับ โดยจะประกาศผลสอบทางอินเตอร์เน็ตในช่วงก่อนวันสงกรานต์ ช่วงหลังสอบรอบแรกเสร็จเนี่ยแหละครับ ค่อยเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง แอดมินว่าจะได้ผลดีมาก ๆ เนื่องจากก่อนสอบรอบแรกเราได้ออกกำลังกายมาได้ประมาณหนึ่งแล้ว ช่วงนี้ก็จะเป็นการเพิ่มกำลัง เพิ่มสกอร์ในท่าต่าง ๆ แต่ถ้าใครไม่เคยออกกำลังกายมาเลย แล้วเพิ่งมาเริ่มช่วงนี้ เหนื่อยแน่ครับ ขอบอก

สำหรับการสอบรอบที่ 2 พอจะสรุปคร่าว ๆ ได้ดังนี้ครับ
1.การตรวจร่างกาย หรือตรวจโรค
2.การทดสอบความถนัดและวิภาววิสัย
3.การสอบพลศึกษา
4.สัมภาษณ์ ท่วงทีวาจาและความเหมาะสม

1.การตรวจร่างกายหรือตรวจโรค
เพื่อตรวจสุขภาพและตรวจหาโรค ซึ่งเป็นลักษณะของโรคที่ต้องห้าม ขัดต่อการรับราชการทหารตำรวจครับ มีเยอะแยะมาก ๆ ซึ่งแต่ละโรคก็ไม่ค่อยมีคนเป็นหรอกครับ แต่มักจะตกกันบ่อย ๆ ก็จะเป็นสายตาสั้น ตาบอดสี ฟันผุแล้วยังไม่ได้อุด ผมเองก็เห็นในเว็บบอร์ดโรงเรียนเตรียมทหารน่ะครับ ชอบถามกันบ่อย ๆ ว่าผมเป็นแผลตรงนั้นตรงนี้ สอบได้ไหมครับ แอดมินขอตอบเลยว่า ถ้าเป็นแผลเป็นนิดหน่อย ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตโอเวอร์ก็ไม่มีปัญหานะครับ

ประสบการณ์สิบปีที่ผ่านมา เคสที่ผมเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกจากเด็กนักเรียนที่ผมสอนปีที่แล้ว ซึ่งสามารถสอบติดทั้ง 4 เหล่า พอรอบสองเลือกสอบเหล่าตำรวจ ซึ่งได้ลำดับที่ดีที่สุด รอบสองก็ผ่านทุกอย่าง แต่ไปตกตรวจโรค ซึ่งหมอวินิจฉัยว่า "เท้าแบน"

ตอนแรกผมก็งงว่าเท้าแบนคืออะไร พอไปดูเท้าของเจ้าตัว ก็ถึงบางอ้อ ลองนึกภาพนะครับ ยกเท้าตัวเองขึ้นมาดูก็ได้ ข้างใต้เท้าด้านในของเรา ปกติมันจะเว้าใช่ไหมครับ ถ้าเราเอาเท้าวางบนพื้น ก็จะเอานิ้วสออดเข้าไปได้ แต่เท้าแบนนี่คือใต้เท้าเราจะเสมอกันไปหมดเลย ไม่มีการเว้าที่ข้างเท้าด้านใน ใครนึกไม่ออกก็ดูภาพประกอบนี้ครับ


หมอบอกว่าโรคเท้าแบนขัดต่อการเป็นทหารตำรวจก็เพราะ หากยืนเดินหรือวิ่งนาน ๆ จะปวดเมื่อย และเป็นอุปสรรคด้วยครับหากต้องไปทำภารกิจที่ภูมิประเทศยากลำบาก

การตรวจร่างกายนี้ไม่มีการคิดคะแนนนะครับ มีแค่ "ผ่าน" กับ "ไม่ผ่าน" เท่านั้น

2.การทดสอบความถนัดและวิภาววิสัย
เป็นการทดสอบสมอง ความจำ ความรุ้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของบุคคลครับ อาจเป็นแบบทดสอบบางอย่าง คำถามวกไปวนมาบ้าง แอดมินขอแนะนำว่า อย่าไปเครียดมากกับแบบทดสอบอย่างนี้ครับ ทำใจให้สบาย ๆ ไม่เครียด ไม่ซีเรียส ไม่คิดมาก เห็นอย่างไรตอบไปอย่างนั้น ข้อสอบแบบนี้แอดมินเคยเจอมาแล้วทั้งการสอบเข้าเตรียมทหาร และการสอบเป็นนักบิน ขอบอกว่าการสอบเป็นนักบิน ทำแบบทดสอบปวดหัวกว่ามากครับ เพราะงั้นข้อสอบสำหรับเด็กสอบเข้าเตรียมทหารมันจะไม่ซีเรียสขนาดนั้น ทำใจให้สบาย ๆ ไม่ต้องคิดซับซ้อนครับ พักผ่อนเยอะ ๆ และการตัดสินการสอบวิภาววิสัย คือ "ผ่าน" กับ "ไม่ผ่าน" เท่านั้นนะครับ

3.การสอบพลศึกษา
การสอบพลศึกษานี้เป็นด่านสำคัญเหมือนกันในการฟันฝ่าเข้าสู่รอบสุดท้าย บางคนซ้อมมาดี แต่วันจริงระงับความตื่นเต้นไม่ไหว ทำได้น้อยกว่าที่ซ้อมมาก็มีเยอะ บางคนไม่ได้ซ้อมมาแล้วเหนื่อยหอบแฮ่ก ๆ ผ่านบ้าง ตกบ้างก็เยอะ อย่างที่แอดมินแนะนำไปนะครับ ซ้อมร่างกายไว้ก่อน เอาให้พออยู่ตัว แล้วมาเพิ่มความหนักหน่วงช่วงหลักจากสอบรอบแรกเสร็จ ส่วนการสอบพลศึกษาจะมีทั้งหมด 8 สถานี ดังนี้ครับ



  • ดึงข้อราวเดี่ยว ดึงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ โดยการคว่ำมือโหนราวเดี่ยว แล้วดึงตัวขึ้นให้คางพ้นราว จึงจะนับ 1 ครั้ง โดยห้ามเหวี่ยงตัว ห้ามตะเกียกตะกาย เดี๋ยวกรรมการจะไม่นับนะครับ เปลืองแรงเปล่า ๆ ตัวอย่างจากคลิปนะครับ


  • วิ่งกลับตัว (วิ่งเก็บของ) โดยการวิ่งเก็บท่อนไม้ ซึ่งจะวางอยู่ในวงกลมสองวง ระยะห่างกัน 10 เมตร วงกลมวงแรกมีท่อนไม้อย่างอยู่ 2 อัน อีกวงไม่มีท่อนไม้ เมื่อได้รับสัญญาณ ก็หยิบท่อนไม้จากวงกลมแรกไปวางในวงกลมที่สอง แล้ววิ่งกลับมาหยิบท่อนไม้อีกอัน แล้ววิ่งไปที่วงกลมที่สอง แต่ไม่ต้องวางนะครับ วิ่งผ่านไปเลย ยิ่งวิ่งเร็วก็ยิ่งคะแนนเยอะ

  • ลุกนั่ง (หรือซิตอัพนั่นแหละ) นอนหงายบนเบาะ แล้วทำการซิตอัพให้ซอกขึ้นมาแตะเข่า กรรมการจึงจะนับให้ 1 ครั้ง ทำให้มากที่สุดในเวลา 30 วินาทีนะครับ

  • วิ่ง 50 เมตร ก็วิ่งให้เร็วที่สุดละกันนะครับ ภาษานักเรียนเหล่าเรียกว่า "ปล่อยม้า"

  • ยืนกระโดดไกล ยืนนะครับ ไม่ใช่วิ่งมากระโดดไกล ยืนที่เส้นแล้วแกว่งตัว โดดไปให้ไกลที่สุดครับ

  • นั่งงอตัว ก็คือการนั่งยืดขาตรงไปด้านหน้า แล้วก้มตัวเอามือยืนไปแตะปลายเท้าให้ไกลที่สุด ยิ่งมือเลยปลายเท้าไปมากเท่าไร คะแนนยิ่งมากครับ

  • วิ่ง 1,000 เมตร หรือ 1 กม.นั่นแหละครับ อันเนี้ยแอดมินเหนื่อยสุดเลยครับ ขอบอก ตอนสอบนี่เล่นเอาลิ้นห้อยเลย แต่ก็ผ่านมาได้

ว่ายน้ำ 50 เมตร ส่วนใหญ่สระว่ายน้ำของโรงเรียนเหล่าจะยาว 50 เมตรอยู่แล้วครับ ถือว่าเป็นสถานีปราบเซียนทีเดียว เพราะเหนื่อยพอสมควร และจะเหนื่อยมากสำหรับคนที่ว่ายน้ำอ่อน หรือไม่ค่อยได้มีโอกาสว่าย จากประสบการณ์ของแอดมินในการสอนกวดวิชา พบว่ามีนักเรียนหลายคนทีเดียว ที่ว่ายน้ำอ่อน บ้างก็มีว่ายน้ำไม่เป็น แอดมินแนะนำนะครับ เด็กควรหัดว่ายน้ำให้เป็นก่อนมาเรียนกวดวิชา หรือไปสอบจริง เพราะการตั้งใจมาหัดว่ายน้ำตอนเรียนกวดวิชาทำให้เสียเวลาเรียนมากนะครับ

ส่วนคะแนนแต่ละสถานีนี่ แต่ละเหล่าทัพกำหนดไว้ไม่เท่ากันครับ รายละเอียดสามารถดูได้จากระเบียบการรับสมัครสอบที่เราไปซื้อมาครับ

4.การสัมภาษณ์ท่วงทีวาจาและความเหมาะสม

อันนี้เป็นการสอบที่หลาย ๆ คนกลัว เพราะว่าไม่รู้ว่ากรรมการจะถามอะไร จะพบเจอกรรมการแบบไหน แต่แอดมินขอเสนอว่าไม่ต้องกังวลครับ ทำใจให้สบาย พักผ่อนให้เต็มที่ กรรมการท่านถามอะไรมาก็ตอบไปแบบนั้น บางอย่างมั่วก็ได้ครับ ไม่ต้องเอาถูกเป๊ะ เช่น ถามเรื่องทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับการเรียนของเรา ชีวิตประจำวัน แนวคิด ทัศนคติ แต่ก็ไม่ใช่ว่านอนรอสบายใจก่อนไปสอบสัมภาษณ์นะครับ ความรู้ทางทหารเบื้องต้นก็ควรจะมีบ้าง เช่นรายชื่อ ผบ.ทบ. ผบ.ทหารสูงสุด ไรเงี้ย หรือไม่ก็ชื่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงเนี่ย ควรจะทราบเอาไว้บ้าง หรือข่าวสารบ้านเมือง อ่านเอาคร่าว ๆ พอครับ ไม่ต้องทุกตัวหนังสือในหนังสือพิมพ์ เลือกเฉพาะข่าวเด่น ๆ ก็พอ

เวลากรรมการท่านสั่งอะไรก็ขอให้ปฏิบัติตามโดยเร็วครับ องอาจผึ่งผาย เสียงดังฟังชัด แสดงถึงความมั่นใจ จะมาเป็นทหารแล้ว มาหงอยได้ยังไง จริงไหมครับ ตั้งสติให้ดี อย่าลนลาน ชิล ๆ ครับ แนะนำไว้ก่อน การตรวจโรคและการสอบสัมภาษณ์นี่ มีแก้ผ้าแน่นอนครับ แต่ไม่ต้องอาย กรรมการก็ผู้ชายทั้งนั้น หัดแก้ผ้าไว ๆ ไว้ครับ 555 ต่อไปก็เป็นคลิปแนะนำการสอบสัมภาษณ์ของเหล่า ทบ.นะครับ

เมื่อผ่านการสอบเหล่านี้แล้ว สุดท้ายก็รอลุ้นกันอีกทีล่ะครับ ว่าการประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านรอบสุดท้ายนั้น จะมีชื่อเราติดหรือเปล่า แอดมินขอแชร์ประสบการณ์ของตัวเองนะครับ การพบว่ามีชื่อตนเองสอบติดแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ไม่มีวันลืมเลยครับ เนื่องจากแอดมินเหนื่อยมากตอนเตรียมตัวอ่านหนังสือ ก็เลยอยากให้กำลังใจน้อง ๆ ทุกคนให้ฟันฝ่ามันไปให้ได้ ขอฝากคำคมไว้นิดนึงนะครับ "คนไม่เคยลำบาก ขึ้นไปอยู่บนที่สูงไม่ได้"

สำหรับตอนหน้า แอดมินจะมาเล่าเกี่ยวกับเทคนิคการเรียนกวดวิชาให้ได้ดี คาดว่าหลาย ๆ คนคงเริ่มมองหาที่เรียนพิเศษกันแล้ว ยังไง ๆ ก็ลองเอาเทคนิคจากแอดมินไปใช้นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ : กว่าจะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร ตอนที่ 1

การจะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้น ไม่ใช่ว่าแค่คิดอยากเป็น ใช้ชีวิตไปวัน ๆ  อ่านหนังสือก๊อก ๆ แก๊ก ๆ แล้วก็ไปสอบ อย่าไปหวังว่าจะได้เลยนะครับ เพราะการสอบเตรียมทหารนั้น เป็นหารสอบที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง จำนวนคนสอบหลักหมื่น เทียบกับจำนวนผู้ที่ได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารจริง ๆ นั้นมีเพียงหลักร้อยเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ใครที่อยากสอบได้ แล้วกำลังรู้สึกขี้เกียจอยู่ แอดมินแนะนำว่าควรรีบเตรียมตัวได้แล้วครับ จงยึดหลักที่ว่า "เวลาที่เรากำลังขี้เกียจ คู่แข่งของเรากำลังอ่านหนังสืออยู่" นะครับ

จากประสบการณ์ของแอดมินที่อยู่ในวงการนักเรียนเตรียมทหาร และนักเรียนเหล่ามาสิบกว่าปี ก็อยากจะมาแจกแจงถึงลำดับขั้นตอนต่าง ๆ ในการสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ไม่ว่าจะเหล่าใดก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน ซึ่งโดยภาพรวมแล้วก็พอจะสรุปได้ดังนี้ครับ

1. การสอบภาควิชาการ
2. การสอบรอบสอง

เห็นมีแค่ 2 รอบเอง อย่านึกว่าหมูนะครับ เพราะรายละเอียดปลีกย่อยมันค่อนข้างเยอะทีเดียว ซึ่งแอดมินคิดว่าสิ่งที่สำคัญสุด ๆ ไปเลยก็คือ ต้องผ่านรอบแรกไปให้ได้ก่อน ไม่ใช่ว่าการสอบรอบสองไม่สำคัญนะ สำคัญเช่นเดียวกัน แต่ถ้าเตรียมร่างกายไปสอบรอบสองให้ดียังไง ถ้าสอบรอบแรกไม่ผ่านมันก็ไม่มีผลอะไรนะครับ

1.การสอบภาควิชาการ
จะเรียกว่าเป็นการสอบที่หินมาก ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะจะมีคู่แข่งเยอะมาก ซึ่งแต่ละคนก็สมัคร 4 เหล่ากันเป็นซะส่วนใหญ่ ตอนที่แอดมินไปสอบเหล่านึง ก็เจอคู่แข่งนี่แหละ พอไปสอบอีกเหล่านึง ก็เจอแต่หน้าเดิม ๆ วนเวียนไปมา ซึ่งคนที่ยึดคติว่าสอบทั้ง 4 เหล่านี่มักจะคิดเหมือน ๆ กันก็คือ "ติดเหล่าไหนก็เอาเหล่านั้น" จำนวนคนสอบมันเลยเยอะน่ะครับ

ทีนี้เนื้อหาที่ใช้ในการสอบภาควิชาการล่ะ มันมีอะไรบ้าง กี่ปี ๆ ก็เหมือนเดิมครับ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง วิชาที่ใช้สอบก็เป็นวิชาหลัก ๆ ที่เรียนกันอยู่ใน ม.ต้น หรืออาจมีบางข้ออยู่ในม.ปลายบ้าง ก็คือ

  • คณิตศาสตร์
  • วิทยาศาสตร์
  • ภาษาอังกฤษ
  • ภาษาไทยและสังคมศึกษา (รวม 2 วิชานี้เป็นหนึ่งเดียวกัน)
จากระเบียบการที่แอดมินได้ผ่านตามา โรงเรียนเหล่าทัพจะเน้นคะแนนไปที่คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ส่วนวิชาภาษาอังกฤษคะแนนจะลดหลั่นลงมา และน้อยที่สุดคือวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษา เพราะฉะนั้นหลักง่าย ๆ ก็คือ ควรฟิตอ่านหนังสือโดยเน้นไปที่วิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นหลัก แต่ก็ไม่ควรทิ้งอีกสองวิชาที่เหลือด้วยนะครับ 

คะแนนรวมของการสอบภาควิชาการจะมีอยู่ 700 คะแนน ซึ่งแค่วิชาคณิตศาสตร์+วิทยาศาสตร์ คะแนนรวมก็ปาเข้าไป 400 คะแนนแล้ว ดีไม่ดีมากกว่านี้อีก (เหล่าทหารเรือ คณิต 220 วิทย์ 220) ส่วนคะแนนที่เหลือก็ภาษาอังกฤษรวมกับภาษาไทยและสังคมศึกษาอีก 300 คะแนน (เหล่าทหารเรือ อังกฤษ 160 ภาษาไทยและสังคมศึกษา 100)

สำหรับรายละเอียดเนื้อหาที่ใช้ในการสอบนั้น มีค่อนข้างกว้าง คือ ม.ต้นทั้งหมดนั่นแหละครับ ซึ่งจะเน้นหนักไปที่ชั้น ม.3 แต่ก็ไม่สามารถทิ้งเนื้อหา ม.1-2 ไปได้ เพราะนั่นคือพื้นฐานของชั้น ม.3 ใครสนใจก็สามารถไปซื้อหนังสือสรุปเนื้อหาการสอบเข้าเตรียมทหารมาศึกษาได้ครับ ซึ่งบางเล่มก็จะมีทั้งการสรุปเนื้อหา ข้อสอบเก่าและเฉลย บางเล่มก็มีแต่ข้อสอบเก่า+เฉลยอย่างเดียว ลองเลือกหาเล่มที่ถูกใจมาอ่านและหัดทำข้อสอบเก่ากันครับ

สถานที่ที่ใช้สอบ
ทางโรงเรียนเหล่าทัพกำหนดสถานที่สอบไว้ดังนี้ครับ
  • โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ใช้ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์รังสิต) มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต (พัฒนาการ) และมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
  • โรงเรียนนายเรือ ใช้ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (บางนา)
  • โรงเรียนนายเรืออากาศ ใช้ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต)
  • โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ใช้ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก) และมหาวิทยาลัยรามคำแหง(บางนา)
  • ส่วนรายละเอียดวันสอบ สามารถอ่านได้ที่ อยากเป็นนายร้อยต้องรู้อะไรบ้าง ตอนที่ 2 ครับ
คำแนะนำในวันสอบ
จากประสบการณ์ของแอดมิน ที่ใช้เวลาในการสอบถึง 2 ปี กว่าจะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร ขอให้คำแนะนำดังนี้ครับ
  • คืนก่อนสอบเข้านอนแต่หัวค่ำ สมองจะได้ปลอดโปร่ง เตรียมสู้ศึกหนักในวันพรุ่งนี้
  • ไปถึงสนามสอบก่อนเวลา ขี้หมูขี้หมาเลยนี่อย่างน้อย สัก 3 ชั่วโมงนะครับ จะได้มีเวลาเดินดูสถานที่ ผังห้องสอบ (ส่วนโต๊ะสอบเขาไม่ให้ดูหรอกครับ ดูได้แต่แผนผังที่จัดไว้ เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริต) มีเวลาเข้าห้องน้ำห้องส้วม และทานข้าว
  • รับประทานอาหาร และขับถ่ายเบา-หนัก ให้เรียบร้อย เนื่องจากเป็นการสอบที่ใช้เวลานาน ไม่ต่ำกว่า "ครึ่งวัน" เพราะฉะนั้นควรรับประทานอาหารก่อน ให้พออยู่ท้อง แต่ไม่ต้องอิ่มจนแน่นนะครับ ระหว่างทำการสอบ จนท.จะไม่อนุญาตให้ออกจากห้องสอบก่อนเวลา เว้นแต่เข้าห้องน้ำห้องส้วม ซึ่งก็จะมีเจ้าหน้าที่(นักเรียนเหล่านั้นแหละ) ติดตามไปด้วย และค้นร่างกายทุกครั้งหลังเข้าและออกห้องน้ำ
  • เตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียนไปให้เพียงพอ ไม่มีการให้หยิบยืมกันนะครับ
  • ไม่ควรพกของมีค่ามากเกินไป เพราะวันสอบมีจำนวนคนมาก แค่นักเรียนที่มาสอบก็หลักหมื่นแล้ว ยังไม่รวมผู้ปกครองและญาติสนิทมิตรสหายของนักเรียนอีกด้วย หากเกิดการสูญหายแล้วจะหายากนะครับ
  • อย่าทุจริตในการสอบเด็ดขาด อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนะครับ
  • อย่าหลงเชื่อบุคคลที่แอบอ้างว่ารู้จักคนใหญ่คนโต สามารถวิ่งเต้นให้สอบได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย(จำนวนมาก) ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเองครับ ลูกชาวนาชาวไร่ชาวสวนสอบติดเยอะแยะไป เพื่อนแอดมินหลาย ๆ คนที่บ้านเขาก็ทำนาครับ
เคล็ดลับในการเตรียมตัวสอบ
จากประสบการณ์ที่แอดมินเคยสอนกวดวิชาเข้าเตรียมทหารมา ขอสรุปให้สั้น ๆ ดังนี้นะครับ ส่วนรายละเอียดว่าทำอย่างไรบ้าง เดี๋ยวจะมาอธิบายให้ในตอนต่อ ๆ ไปครับ
  • เตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ ยิ่งเตรียมตัวเร็วตั้งแต่ ม.1 เลยยิ่งดีครับ เพราะความรู้ยิ่งแน่นยิ่งได้เปรียบ จากประสบการณ์โดยตรงที่แอดมินพบมา ไม่เคยเห็นนักเรียนคนไหนที่เพิ่งจะมาเตรียมตัวเอาตอนเรียนกวดวิชาเดือนมีนาคมก่อนสอบแล้วสอบติดเลย (ถ้าไม่ใช่คนหัวไบรท์จริง) ความจริงของโลกใบนี้ก็คือ คนเก่งแพ้คนขยันครับ
  • ทำข้อสอบเก่ามาก ๆ ยิ่งทำมากยิ่งได้เปรียบมาก ทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ยิ่งดีครับ ข้อสอบเตรียมทหารหลักสูตรที่รับนักเรียน ม.3 เริ่มเมื่อปี 2547 นะครับ สมมติว่าเหล่าละ 200 ข้อ 4 เหล่าก็เป็น 800 ข้อ ผ่านมา 7 ปีแล้ว ก็เป็น 5,600 ข้อ ใครอ่านใครหัดทำ 5,600 ข้อนี้ได้หมดแล้ว แอดมินรับรองว่าสอบได้แน่นอนครับ
  • รักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ไม่ใช่เฉพาะด้านวิชาการอย่างเดียวนะครับ ยังมีการสอบพละ ตรวจโรคตรวจร่างกาย สัมภาษณ์ ทดสอบสุขภาพจิตอีกด้วยครับ
เป็นยังไงบ้างครับ นี่เพียงแค่ข้อแรกนะครับ รายละเอียดยังขนาดนี้ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ครับ แอดมินก็เคยผ่านจุดนี้มา ขอรับรองว่า ถ้ามีความตั้งใจจริง เราต้องทำได้แน่นอนครับ สำหรับตอนนี้ แอดมินจะมาสาธยายการสอบในรอบที่ 2 ให้รับทราบกันนะครับ แล้วคุณจะได้รู้ว่า "หนทางมันไม่ได้โรยด้วยกลับกุหลาบ" จริง ๆ ครับ

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

อยากเป็นนายร้อยต้องรู้อะไรบ้าง? ตอน2

จากตอนที่แล้วที่ได้กล่าวไปถึงข้อ 1 นั่นก็คือต้องรู้จักโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจกันไปเบื้องต้นแล้ว ตอนนี้ก็มาถึงข้อ 2 ครับ นั่นคือ รู้คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สอบเข้า

2.คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สอบเข้า

จากประสบการณ์ของผมเอง ซึ่งเคยเป็นทั้งคนสอบ มาเป็นคนสอนกวดวิชา รวมถึงเคยพานักเรียนไปสมัครสอบนั้น แต่ละโรงเรียนเหล่าทัพจะมีประกาศรับสมัครสอบออกมาในช่วงปลายเดือนธันวาคมจนถึงต้นเดือนมกราคมของทุกปี แต่ละเหล่านั้นจะกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัครสอบนั้นเหมือน ๆ กัน ซึ่งแอดมินพอจะสรุปคุณสมบัติสำคัญ ๆ ได้ดังนี้

2.1 เป็นชายโสด จบการศึกษาชั้น ม.3 หรือเทียบเท่า อันนี้หมายความถึง กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.3 ก็ได้ ซึ่งหากกำลังศึกษาอยู่ การสมัครสอบนั้นต้องแนบใบรับรองจากโรงเรียนด้วยว่ากำลังศึกษาอยู่ (ติดต่อขอรับได้จากฝ่ายธุรการเลยครับ)

2.2 อายุไม่ต่ำกว่า 14 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 17 ปีบริบูรณ์ โดยหลักการนับอายุจะไม่ดูวันเดือนที่เกิด จะดูเฉพาะปี พ.ศ.อย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ.2555 นี้ ผู้ที่มีสิทธิ์สมัครสอบ จะต้องเกิด พ.ศ.2555-17 = พ.ศ.2538 จนถึง 2555-14 = พ.ศ.2541 เท่านั้น หมายความว่า นักเรียนชั้น ม.3-4-5-6 ที่เกิดตั้งแต่ 1 ม.ค.38 เป็นต้นมา สามารถสมัครสอบได้ครับ

2.3 มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด และบิดา-มารดามีสัญชาติไทยโดยกำเนิดด้วย ยกเว้นแต่บิดาเป็นนายทหารและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรหรือชั้นประทวน มารดาจะไม่มีสัญชาติไทยโดยกำเนิดก็ได้

คุณสมบัติเบื้องต้นที่สำคัญมาก ๆ ก็มีดังที่กล่าวไปแล้วนะครับ ซึ่งรายละเอียดคุณสมบัติอื่น ๆ แต่ละเล่ากำหนดไว้แตกต่างกันเล็กน้อยมาก อย่างเช่น พิกัดน้ำหนักและส่วนสูง ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ผู้ที่สนใจสามารถดูได้จากระเบียบการใบสมัครสอบที่ไปซื้อได้ครับ ส่วนระเบียบการเบื้องต้นแอดมินได้รวบรวมไว้ให้ดาวน์โหลดกันไปได้เลยครับ ซึ่งขณะนี้ออกมาประกาศครั้งทั้ง 4 เหล่าแล้ว

คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายเรือเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ทร.ประจำปี 55
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายเรืออากาศเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ทอ.ประจำปี 55
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายร้อยตำรวจเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ สตช.ประจำปี 55
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ทบ.ประจำปี 55

ซึ่งปีนี้ รร.จปร.มีการรับสมัครทางอินเตอร์เน็ตด้วย ซึ่งเพิ่มเติมจากปีก่อน ๆ ที่รับสมัครทางไปรษณีย์และรับสมัครด้วยตนเอง

สำหรับการรับสมัครในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์จะเป็นการรับสมัครทางไปรษณีย์ ยกเว้นนายร้อยตำรวจซึ่งรับสมัครทางอินเตอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.เวลา 08.00 น. - วันที่ 2 มี.ค. เวลา 16.00น. ส่วนการไปสมัครสอบด้วยต้นเอง ทาง 3 เหล่าที่เหลือได้กำหนดไว้วันที่ 9-14 มีนาคมที่โรงเรียนนายเรืออากาศ ดอนเมืองครับผม

สำหรับการสอบรอบแรก (ภาควิชาการ) ทั้ง 3 เหล่าได้ประกาศออกมาแล้ว มีดังนี้ครับ

  • 1 เม.ย. สอบนายเรืออากาศ
  • 2 เม.ย. สอบนายร้อย จปร.
  • 5 เม.ย. สอบนายเรือ
  • 6 เม.ย. สอบนายร้อยตำรวจ
  • ประกาศผลสอบทางอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.54 
  • ประกาศผลสอบอย่างเป็นทางการและรายงานตัว 17 เม.ย.54 ที่โรงเรียนนายเรืออากาศ
หลังจากนั้นผู้ที่สอบผ่านภาควิชาการทั้งหมดจะเข้าสอบรอบสอง ซึ่งประกอบไปด้วยการสอบพลศึกษา สัมภาษณ์ ตรวจร่างกาย แล้วจึงคัดเลือก (หรือคัดออก) จนได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้วประกาศผลอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 27 เม.ย.54

เห็นไหมล่ะครับ การจะเดินทางตามความฝันนั้นมันไม่ง่ายเลย ต้องใช้ความตั้งใจอุตสาหะและกำลังใจเป็นอย่างมากกว่าจะผ่านไปยังเส้นทางที่ตนเองฝันได้ แต่มันก็ไม่ไกลเกินจริงหรอกครับ สุดท้ายนี้ผมไปเจอคลิปนึงในยูทู๊ป เกี่ยวกับเส้นทางการสอบเข้าเตรียมทหาร ใครสนใจก็ดูไว้เป็นกำลังใจกันนะครับ


สำหรับในตอนหน้า ผมจะมาแจกแจงว่า การสอบแต่ละรอบนั้น มันมีอะไรบ้างครับ ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ หรือการตรวจโรค ตรวจร่างกาย สัมภาษณ์ พร้อมแทรกประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆของตัวเองลงไปด้วย อย่าลืมติดตามอ่านกันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

อยากเป็นนายร้อยต้องรู้อะไรบ้าง?

คงมีเด็กวัยรุ่นอีกจำนวนไม่น้อยที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเรียนเตรียมทหาร นักเรียนนายร้อย นักเรียนนายเรือ นักเรียนนายเรืออากาศ และนักเรียนนายร้อยตำรวจ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะอยากใส่เครื่องแบบบ้าง (ประมาณว่ามันเท่ห์) อยากทำงานรับราชการเป็นทหารตำรวจบ้าง อยากรับใช้ชาติบ้าง หรืออาจจะเคยดูหนังสงครามแล้วเกิดความประทับใจอยากเป็นทหาร อยากขับรถถัง อยากขับเครื่องบิน อยากนั่งเรือรบ หรืออยากเป็นตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เหมือนพระเอกละครบ้างก็สุดแท้แต่ หรือบางเหตุผลก็มาจากคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกทำงานรับราชการที่มีความมั่นคง เพื่อตัวเองจะได้หายห่วงหายกังวลถึงอนาคตของลูกก็มีนะครับ

จากประสบการณ์ของตัวแอดมินเอง ที่เคยผ่านประสบการณ์เป็นนักเรียนมัธยมที่คร่ำเคร่งอ่านหนังสือสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย จนสอบไม่ติดในปีแรก แล้วมาสอบติดในปีถัดมา จนมาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร 2 ปี นักเรียนนายร้อย จปร. 5 ปี (หลักสูตรปัจจุบัน เตรียมทหาร 3 ปี จปร.4 ปี) จนถึงปัจจุบัน (ม.ค.55) แอดมินเรียนจบแล้วรับราชการมา 6 ปีแล้วครับ ระหว่างที่เป็นนักเรียนเตรียมทหารก็เคยไปช่วยคุมเด็กนักเรียนตามค่ายติวกวดวิชาต่าง ๆ จนกระทั่งผันตัวมาสอนเองบ้าง ก็ได้พบเจอประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งจากตัวเด็กนักเรียนมัธยมเอง และจากผู้ปกครองที่ยังไม่ทราบข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็ยังมีคำถามเดิมที่แอดมินจะคอยตอบและให้คำปรึกษาอยู่เสมอ ๆ เนื่องจากตัวเด็กและผู้ปกครองบางคนไม่รู้เลยว่าอยากเป็นนายร้อยต้องทำอย่างไร กว่าจะได้เตรียมพร้อมหรือเตรียมตัวก็สายเสียแล้ว ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่า ๆ ตั้งนานจนเลยกำหนดที่จะสอบได้ แอดมินจึงได้ประมวลประสบการณ์ที่พบเจอมาถ่ายทอดให้ผู้ที่สนใจได้รับทราบกันครับว่า "อยากเป็นนายร้อยต้องรู้อะไรบ้าง?" ก็มีดังนี้ครับ

1.รู้จักโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนเหล่าทัพ
2.รู้คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สอบเข้า


1.รู้จักโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนเหล่าทัพ

1.1 โรงเรียนเตรียมทหาร ตั้งอยู่ที่ ต.ศรีกะอาง อ.บ้านนา จ.นครนายกครับ ถามว่าโรงเรียนนี้ทำอะไร ก็ตามชื่อโรงเรียนนั่นแหละครับ ว่าเตรียมทหาร ผู้ที่จะผ่านไปเป็นนักเรียนนายร้อย 4 เหล่าล้วนต้องผ่านโรงเรียนเตรียมทหารก่อน (ยกเว้นนักเรียนจ่าอากาศและจ่าทหารเรือ ที่คัดนักเรียนผลการเรียนดีเยี่ยมไปศึกษาต่อยังโรงเรียนนายเรือ และนายเรืออากาศได้เลย ส่วนโรงเรียนนายร้อยตำรวจจะมีโควต้าให้นักเรียนพลตำรวจสอบเข้าศึกษาต่อยังโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้เลย)

โรงเรียนเตรียมทหารมีแต่นักเรียนชายนะครับ นักเรียนหญิงไม่รับ โดยจะให้การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสายวิทย์-คณิต (ม.4-ม.6) และฝึกอบรม ปลูกฝังนิสัย   อุปนิสัย  วินัย  จิตวิทยาและการนำทหาร  พลศึกษา  วิชาทหาร-ตำรวจเบื้องต้น  เพื่อให้มีลักษณะเป็นนายทหารนายตำรวจสัญญาบัตรที่ดี เรียกง่าย ๆ ว่าการฝึกทหารนั่นแหละครับ แต่เป็นเพียงระดับเบื้องต้นเท่านั้นเอง เพราะนักเรียนเองก็ยังเด็กอยู่ และเมื่อนักเรียนเตรียมทหารจบการศึกษา 3 ปีแล้ว (เทียบเท่า ม.6) ก็จะถูกส่งตัวไปศึกษาต่อยังโรงเรียนเหล่าทัพโดยอัตโนมัติ หมายความว่า ไม่ต้องสอบอีกแล้ว แต่ต้องเรียนให้ผ่านตามกฎข้อบังคับของโรงเรียนเตรียมทหาร นั่นคือเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.00 และไม่มีรายวิชาใดที่ติด F อยู่ ถ้าติด F ต้องรีบแก้ให้ผ่านไม่งั้นซ้ำชั้นไม่รู้ด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับโรงเรียนเตรียมทหารเพิ่มเติมสามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์โรงเรียนเตรียมทหารได้ที่นี่เลยครับ เว็บไซต์โรงเรียนเตรียมทหาร
ภาพนักเรียนเตรียมทหารครับ เครื่องแบบมีหลายชุด ส่วนอาคารด้านหลังคือกองบัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร เรียกกันสั้น ๆ ว่า "ตึกวาย" (Y) เพราะมองจากมุมสูงแล้วเหมือนตัวอักษร Y นั่นเอง

คลิปนี้แอดมินเสิร์ชหามาจากในยูทู๊ปครับ เป็นภาพประกอบเพลงผู้ชนะ ของเสก โลโซ ซึ่งอธิบายถึงความยากลำบากกว่าจะเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้ค่อนข้างดีครับ



เมื่อผ่านความยากลำบากกว่าจะสอบเข้าได้แล้ว คลิปต่อมาก็เป็นมาร์ขนักเรียนเตรียมทหารครับ
ซึ่งเป็นเพลงที่แอดมินเคยร้องทุกเช้าเวลา 05.30 น.เมื่อต้องออกวิ่งครับ วิ่งไป หลับไป ร้องเพลงไป 
ยังทำได้เลยครับ 555

1.2 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เรียกกันสั้น ๆ ว่าโรงเรียนนายร้อย จปร.ครับ ตั้งอยู่ที่ ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนเตรียมทหารนั่นเอง ห่างกันประมาณ 5 กม.ได้ครับ รถยนต์ก็ประมาณ 10 นาที หรือจะเดินข้ามจากเขาคอก มาลงเขาชะโงกในโรงเรียนนายร้อยก็ได้ ใช้เวลาครึ่งวัน (ไม่ได้พูดเล่นนะครับ ผมเคยเดินจริง ๆ 555) ซึ่งเรื่องราวในโรงเรียนนายร้อยนี่แอดมินสามารถสาธยายได้ยาวหน่อยเพราะได้มาจากประสบการณ์จริง ซึ่งจะไว้เล่าในคราวต่อ ๆ ไปนะครับ

โรงเรียนนายร้อย จปร.จะทำการประกาศรับสมัครสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก (เรียกกันสั้น ๆ ว่าเหล่า ทบ.) โดยรับนักเรียนที่มีวุฒิ ม.3 หรือเทียบเท่าและอายุอยู่ในช่วง 14-17 ปี เท่านั้น เมื่อคัดเลือกผู้ที่สอบผ่านได้ตามจำนวนที่กำหนดแล้วก็จะส่งนักเรียนไปศึกษายังโรงเรียนเตรียมทหารก่อน เมื่อนักเรียนเตรียมทหารที่จบจากชั้นปีที่ 3 มาแล้ว นักเรียนเตรียมทหารเหล่า ทบ.นี้ก็จะถูกส่งมาศึกษาต่อยังโรงเรียนนายร้อย จปร.โดยอัตโนมัติครับ ซึ่งต้องศึกษาต่ออีกอย่างน้อย 4 ปีจึงจะจบการศึกษาติดดาวยศร้อยตรีบนบ่าต่อไปครับ

นักเรียนนายร้อย จะเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรปริญญาตรี รวมถึงการฝึก ศึกษาวิชาทหารในด้านต่าง ๆ ตามภารกิจของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าที่ว่า

รงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มีหน้าที่ให้การศึกษา อบรม และดำเนินการฝึกนักเรียนนายร้อย 
มีผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นผู้บังคับบัญชา
รับผิดชอบปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาสำหรับนักเรียนนายร้อย
ให้มีความเหมาะสม ก้าวหน้า ทันสมัย และได้มาตรฐาน  
รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการของกองทัพบก สถานการณ์ และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าแล้ว ก็จะได้ประดับยศร้อยตรี รับปริญญาบัตร โดยมีวุฒิการศึกษาปริญญาตรีตามสาขาที่ตนเลือกเรียน รับพระราชทานกระบี่ และได้บรรจุเข้ารับราชการในกองทัพบกต่อไปครับ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้จาก เว็บไซต์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

รูปภาพนักเรียนนายร้อยในเครื่องแบบชุดต่าง ๆ ครับ


คลิปรายการสยามเช้านี้เกี่ยวกับโรงเรียนนายร้อย จปร.ครับ ประกอบเพลงที่แอดมินต้องร้องขณะรวมแถววิ่งออกกำลังกายยามเช้ามืด (เช่นเคย) ใครที่อยากสอบเข้าได้ แนะนำให้ดูคลิปนี้ โดยเฉพาะในช่วงนาทีที่ 5:25 เป็นต้นไปนะครับ 

1.3 โรงเรียนนายเรือ หรือให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าโรงเรียนนายร้อยทหารเรือนั่นแหละครับ มีปรัชญาคือ "แหล่งผลิตนายทหารเรือ อันเป็นรากแก้วของกองทัพเรือ" ตั้งอยู่ที่ ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของกองทัพเรือในระดับอุดมศึกษา โดยทำการรับสมัครผู้ที่มีคุณสมบัติเดียวกันกับที่โรงเรียนนายร้อย จปร.กำหนดนั่นแหละครับ เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพเรือ เมื่อคัดเลือกผุ้สมัครสอบผ่านได้แล้วก็จะส่งไปศึกษายังโรงเรียนเตรียมทหารเป็นเวลา 3 ปี เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะเข้าศึกษาต่อไปยังโรงเรียนนายเรือโดยอัตโนมัติ ซึ่งโรงเรียนนายเรือก็จะให้การศึกษาในระดับปริญญาตรีและฝึกอบรมให้แก่นักเรียนนายเรือ เป็นเวลา 4 ปี ให้เป็นนายทหารสัญญาบัตรหลักของกองทัพเรือต่อไปครับ

เมื่อจบการศึกษาชั้นปีที่ 4 แล้ว นักเรียนนายเรือก็จะประดับยศเรือตรี รับปริญญาบัตรตามสาขาที่ตนจบมา รับพระราชทานกระบี่และบรรจุเข้าทำงานในกองทัพเรือต่อไปครับ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถค้นหาจาก  เว็บไซต์โรงเรียนนายเรือ

นักเรียนนายเรือในเครื่องแบบสีขาวสะอาดสุดเท่ห์




คลิปยูทู๊ปเพลงออกทะเลครับ ขออภัยเจ้าของคลิปด้วย แอดมินเห็นว่าภาพเยอะดีเลยเอามาเผยแพร่ต่อครับ

1.4 โรงเรียนนายเรืออากาศ หรือนายร้อยทหารอากาศนั่นแหละครับ ตั้งอยู่ที่ถนนพหลโยธิน ดอนเมือง กรุงเทพฯนี่เอง เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาหลักของกองทัพอากาศเลย ใครที่ขับรถผ่านเส้นพหลจากสะพานใหม่ตรงไปคงเคยเห็นบ้าง อยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลภูมิพลนัก แน่นอนครับ โรงเรียนนายเรืออากาศจะรับสมัครผู้มีคุณสมบัติตรงกับโรงเรียนนายร้อยและโรงเรียนนายเรือ เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพอากาศเช่นกัน แล้วคัดเลือกผู้ที่สอบได้ ไปเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร 3 ปี เมื่อจบเตรียมทหารแล้วจะเข้าศึกษาต่อยังโรงเรียนนายเรือกอากาศโดยอัตโนมัติ เป็นเวลา 4 ปี โดยจะได้รับการฝึกอบรม ทั้งวิชาการและวิชาทหาร เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะประดับยศเรืออากาศตรี รับปริญญาตามสาขาที่ตนเลือกเรียน รับพระราชทานกระบี่ และบรรจุเข้าเป็นนายทหารสัญญาบัตรของกองทัพอากาศต่อไป ข้อมูลเพิ่มเติมที่ เว็บไซต์โรงเรียนนายเรืออากาศ

นักเรียนนายเรืออากาศครับ หล่อ ๆ น่ากินกันทั้งนั้นเลย



คลิปนักเรียนนายเรืออากาศ รุ่นที่ 57 รุ่นน้องของแอดมินครับ (เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารของแอดมินเป็นนายเรืออากาศรุ่น 49)

1.5 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ตั้งอยู่ที่ อ.สามพราน จ.นครปฐมครับ (ตอน ม.4 แอดมินอกหักสอบตกรอบ 2 ก็ที่นี่แหละครับ) มีหน้าที่ดำเนินการให้การศึกษาและผลิตนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยจะทำการคัดเลือกผู้ที่สอบผ่านส่งไปเรียนยังโรงเรียนเตรียมทหารเป็นเวลา 3 ปี เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะเข้ารับการศึกษาต่อยังโรงเรียนนายร้อยตำรวจโดยอัตโนมัติเป็นเวลาอีก 4 ปี เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะปรับดับยศร้อยตำรวจตรี รับปริญญาบัตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต รับพระราชทานกระบี่ และบรรจุเข้ารับราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยอัตโนมัติ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ เว็บไซต์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งปัจจุบันรับนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิงได้ด้วย (วุฒิ ม.6)

นักเรียนนายร้อยตำรวจครับ หล่อเหลากันทั้งนั้น



ส่วนนี่เป็นคลิปนักเรียนนายร้อยตำรวจลอดซุ้มกระบี่ครับ

เป็นยังไงบ้างครับ แนะนำไปเล็ก ๆ น้อย สำหรับโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนเหล่าทัพที่ 4 พอหอมปากหอมคอนะครับ ก่อนที่จะสอบเข้าก็ควรจะทำความรู้จักกับสถาบันนั้น ๆ กันสักเล็กน้อยก่อน จะเห็นได้ว่าการจะเป็นนักเรียนนายร้อยไม่ว่าจะเหล่าใดก็ตามนั้นมันไม่ง่ายเลย จะต้องผ่านการเป็นนักเรียนเตรียมทหารก่อนครับผม เส้นทางสู่ดาวนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน ดังคำกล่าวที่ผมต้องท่องและได้ยินมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเตรียมทหารที่ว่า "ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้ หอมยวลชวนจิตไซร้ บ่มีฯ" และคำกล่าวที่ว่า "ความลำบากที่เกินทน จะหลอมคนให้เป็นควาย เอ้ย จะหลอมคนให้ทนทาน" ซึ่งทุกวันนี้ผมยังจำได้ขึ้นใจ 

สรุป
  • โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นระดับ ม.ปลาย
  • ก่อนเรียนโรงเรียนนายร้อย 4 เหล่า ต้องผ่านโรงเรียนเตรียมทหารก่อน 
  • ใช้วุฒิ ม.3 สอบเข้า รับเฉพาะเด็กผู้ชาย ยกเว้นนายร้อยตำรวจ รับเพศหญิง วุฒิ ม.6
  • จบนายร้อย 4 เหล่า ได้วุฒิ ป.ตรี พร้อมประดับยศ ร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี และร้อยตำรวจตรี และบรรจุเข้ารับราชการ
สำหรับในบทความครั้งหน้า ผมจะมาอธิบายให้ทราบว่า คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สอบเข้า ต้องมีอะไรบ้าง เพื่อจะได้เป็นการเตรียมพร้อม เตรียมตัว สำหรับน้อง ๆ นักเรียนมัธยม ผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นทหาร-ตำรวจกันครับ